หลังจากผ่านนัดที่ 21 ของไทยลีกไป มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นนั่นคือ ทีมนำเปลี่ยน ก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้น ทีมนำยังเป็นของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งนัดนี้เป็นการพบกันระหว่างสองทีมยักษ์ใหญ่ไทยลีก เชียงราย ยูไนเต็ด กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด โดยที่เจ้าบ้านต้องการชัยชนะนัดนี้เป็นอย่างมากเพื่อขึ้นนำเป็นเป็นทีมหัวตาราง แต่ไม่ได้ง่ายดายนัก เพราะคู่แข่งคือทีมนำอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่คับคั่งไปด้วยผู้เล่นฝีเท้าจัดจ้านทั้งทีม แต่เชียงราย ยูไนเต็ดเองก็มีดีเช่นกันยามที่เป็นทีมเหย้า ผลสกอร์เมื่อจบการแข่งขันค่อนข้างผิดความคาดหมายอย่างมาก เจ้าบ้านชนะขาดด้วยสกอร์ 4 : 0 แม้แต่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คงไม่คาดคิดว่า ผลการแข่งขันจะออกมาขาดเช่นนี้ เกมส์ในสนามของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดทำได้ดีแล้ว แต่ยังดีไม่พอที่จะยึดจ่าฝูงไว้ได้ การเปลี่ยนแปลงทีมหัวตารางจึงเกิดขึ้นและทีมที่ขึ้นไปเป็นจ่าฝูงแทนคือคู่แข่งที่ชนะในวันนี้ นั่นคือ เชียงราย ยูไนเต็ดนั่นเอง

ทีมใหญ่อีกทีมที่พอเริ่มเลคสองมากก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่ง จากทีมที่อยู่อันดับท้ายตารางในช่วงเลคแรก หลังจากการเปลี่ยนผู้ฝึกสอน มาเป็น อเลกซานเดอร์ กาม่า โค้ชชาวบราซิลผู้ผ่านประสบการณ์ไทยลีกมาอย่างยาวนานก็ทำให้ทีมเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป๋นหลังมือได้ นั่นคือเก็บชัยชนะ 6 นัด จาก 7 นัดในช่วงเลคสองที่ผ่านมา ทำให้ทีมไต่อันดับขึ้นมาอยู่ในกลุ่มบนของตารางคะแนนได้สำเร็จ รวมทั้งเปิดบ้านมีชัยต่อ ชัยนาท ฮอร์นบิล ไม่ต่างอะไรกับทีมหนีตกชั้นอย่างสุโขทัย เอฟซี ที่เอาชนะทีมที่มีอันดับดีกว่าอย่าง ปตท. ระยอง เอฟซี ไปได้ ทำให้ สุโขทัย เอฟซีหนีจากทีมที่อยู่ในโซนตกชั้นได้สำเร็จ

ไม่ว่าจะเป็นทีมที่ลุ้นแชมป์หรือเป็นทีมที่หนีตกชั้น ความเข้มข้นไม่ต่างกันเลย ไม่แน่ว่าอาจมีลุ้นกันจนนัดสุดท้ายก็ได้ว่า ทีมแชมป์คือใครหรือทีมตกชั้นเป็นทีมใด

                จากการเปลี่ยนแปลงระบบการแข่งขันจากเดิมที่มี 18 ทีมมาเป็น 16 ทีม ทำให้ไทยลีกมีความเข้มข้นน่าดูยิ่งขึ้น หลายคนอาจไม่เห็นด้วยจะทำให้เกมไม่เร้าใจ แต่ไทยลีกฤดูกาลนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเกมส์ออกมาเร้าใจขนาดไหน ถึงแม้จำนวนแมทช์ของแต่ละทีมลดลงแต่การชิงชัยเพื่อที่จะอยู่รอดไม่ตกชั้นไปเล่นไทยลีกรองนั้นเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ ซึ่งแต่ละทีมวางแผนเสริมตัวผู้เล่นต่างชาติหรือผู้เล่นไทยฝีเท้าดีกันมากมาย จึงเป็นผลให้ไทยลีกสนุกขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นการแข่งขันของผู้เล่นภายในทีมยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีก โดยเฉพาะนักเตะเยาวชนอายุน้อยได้เรียนรู้ประสบการณ์และเรียกความมั่นใจโดยการโชว์ลวดลายฝีเท้าให้เข้าตาเพื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่งของทีม ซึ่งเป็นผลดีต่อนักเตะเอง และนั่นเป็นการพัฒนาวงการฟุตบอลไทยโดยตรง และจากการเข้ามารับงานเป็นเฮดโค้ชทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีกับทีมชาติชุดใหญ่  อากิระ นิชิโนะ ซึ่งเป็นโค้ชระดับเอเชียที่มีผลงานทั้งคุมสโมสรกับทีมชาติญี่ปุ่นหลายชุด และพาทีมชาติญี่ปุ่นเข้าสู่รอบสองในฟุตบอลโลกล่าสุดที่รัสเซียมาแล้ว นักเตะไทยต้องเรียนรู้จากเขาและต้องโชว์ศักยภาพให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตานิชิโนะ โค้ชชาวญี่ปุ่นคนนี้ ไม่แน่นักเตะเยาวชนหลายคนที่กำบังโชว์ฟอร์มเด่น เจิดจ้าในไทยลีกจณะนี้ อาจมีชื่อติดทีมชาติในยุค นิชิโนะก็เป็นได้

ไทยลีกจากยุคแรกจนถึงปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นไปมากและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เราเห็นนักเตะเยาวชนโลดแล่นอยู่ในไทยลีกหลายคน และนั่นคือเพชรเม็ดงามรอการเจียระไนให้เปล่งประกายในระดับเอเชียได้

      การแข่งขันชิงแชมป์เอเชียในระดับรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี และการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกกำลังจะเปิดฉากขึ้น จะเป็นบทพิสูจน์ของฟุตบอลไทยอีกครั้ง ภายใต้การคุมของเฮดโค้ชคนใหม่ จะเป็นอย่างไร น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่นอกเหนือจากนั้นทีมชาติจะแข็งแกร่งได้นั้น ลีกในประเทศจำเป็นต้องแข็งแกร่งด้วย นั่นก็เท่ากับว่าเราจะมีเพชรเม็ดงามในไทยลีกเพิ่มขึ้นที่รอรอการเจียระไน อันเป็นรากฐานของฟุตบอลที่แท้จริงในระยะยาว รอวันที่ทีมชาติจะไปผงาดในฟุตบอลโลกให้ได้สักครั้ง

แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ค่อยๆปรากฏขึ้น ขอเพียงแต่วางแผนต่อยอดขึ้นไปสู่แสงสว่างนั้น อย่าได้วนเวียนอยู่ในอ่างเหมือนที่ผ่านมาอีกเลย