Author: Debbie Bates (page 3 of 5)

เส้นทางชีวิตของกุนซือคนใหม่แห่งทัพปีศาจ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

ภายหลังจากผลงานการคุมทัพปีศาจแดงชั่วคราว ที่พาทีมโชว์ฟอร์มอย่างร้อนแรงจนทำให้ล่าสุดทางสโมสร ต้องประกาศแต่งตั้ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เป็นผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการ สมกับฉายาซูเปอร์ซับ ที่สามารถเข้ามาช่วยทีมให้พ้นจากช่วงเวลาที่ยากลำบากได้อีกครั้ง แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่า เบื้องหลังชีวิตของกุนซือหน้าทารกรายนี้ มีความน่าสนใจเพียงใด

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ในวัยทารกน้อยได้ถือกำเนิดเมื่อปี 1973 ที่ประเทศนอร์เวย์  โดยที่ได้ถูกตั้งความหวังจากคุณพ่อที่เป็นนักมวยปล้ำอาชีพฝีมือฉกาจ การันตีจากการคว้าแชมป์ภายในประเทศกว่า 5 สมัย ให้ฝึกฝนและเติบโตขึ้นเป็นนักมวยปล้ำชั้นแนวหน้า แต่ด้วยร่างกายที่ค่อนข้างอ่อนเอ ทำให้สุดท้ายไม่สามารถเดินตามความฝันของคุณพ่อได้สำเร็จ

แต่ในวัยเด็กนอกเหนือจากเวลาที่ใช้ในการฝึกฝนทักษะมวยปล้ำแล้ว โซลชา จะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการดูรายการฟุตบอลอังกฤษ จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาเริ่มหันมาเล่นกีฬาฟุตบอล และด้วยความตั้งใจในการฝึกฝนทักษะของตัวเอง จึงทำให้ได้มีโอกาสเล่นร่วมกับทีมประจำท้องถิ่น ในวัยเพียง 8 ขวบเท่านั้น

เมื่อก้าวเข้าสู่วัยรุ่น โซลชา ที่ได้บ่มเพาะศักยภาพในการเป็นนักเตะมาอย่างต่อเนื่อง ก็ได้เข้าสู่ทีมเยาวชนและได้เล่นให้กับทีมในดิวิชั่น 3 อย่าง เคลาเซเนนเก้น จนผลงานไปเตะตาทีมในระดับลีกสูงสุดอย่าง โมลด์ และใช้เวลาเพียงไม่นานในการสร้างชื่อจนได้ขนานนามจากแฟนบอลว่า  อลัน เชียร์เรอร์ แห่งประเทศนอร์เวย์ โดยโซลชา ก็ไม่ได้หลงระเริงไปกับชื่อเสียงที่ได้รับ แต่กลับตั้งใจขยันฝึกซ้อมมากยิ่งขึ้น โดยหวังแต่เพียงว่าวันหนึ่ง จะได้ย้ายไปเล่นในลีกสูงสุดของอังกฤษ

และจากฟอร์มอันร้อนแรงที่ซัดไป 31 ประตูตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ย้ายมาร่วมทีม ส่งผลให้ฟอร์มดันไปเตะตากับผู้ที่จะมาเปลี่ยนอนาคตเขาไปตลอดการอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ในขณะนั้นพึ่งผิดหวังจากการพยายามคว้าตัวสุดยอดกองหน้าที่ โซลชา เคยถูกนำไปเปรียบเทียบอย่าง อลัน เชียร์เรอร์ เป็นเหตุให้ทางสโมสรตัดสินใจเซ็นสัญญา โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ดาวยิงจากประเทศนอร์เวย์ ที่แฟนบอลประเทศอังกฤษในยุคสมัยนั้นแทบไม่มีใครรู้จักเขาเลย โดยในปีแรกเขาได้กลบเสียงวิจารณ์และข้อสงสัยในตัวเขาทันที เมื่อจัดการยิงประตูให้กับทีมไปถึง 18 ประตูในลีก พร้อมคว้าตำแหน่งดาวซัลโวของทีมและพาสโมสรคว้าแชมป์ลีกมาครองได้ในที่สุด

แต่แล้วในปี 1998-1999 สโมสรก็ได้ตัดสินใจเซ็นกองหน้ามาอีกรายนั้นคือ ดไวท์ ยอร์ค ทำให้เกิดกระแสข่าวการย้ายทีมของ โซลชา เกิดขึ้นทันที อย่างไรก็ดี ดาวยิงชาวนอร์เวย์กลับปฏิเสธการย้ายทีมและพร้อมเข้าร่วมแข่งขันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งกองหน้าตัวจริง โดยที่เจ้าตัวอาจไม่รู้ว่าการตัดสินใจนี้ จะเป็นการเปิดประตูไปสู่การเป็นตำนานที่เข้าไปครองใจเหล่าแฟนๆสาวกปีศาจแดงในภายหลัง

ในเวลาต่อมาโซลชา ได้ถูกปรับเปลี่ยนบทบาทมาเป็นกองหน้าตัวสำรองของทีมบ่อยครั้ง แต่ด้วยความสามารถในการยิงประตูในช่วงเวลาสำคัญของทีม พาทีมพลิกกลับมาเอาชนะ หรือคว้าผลการแข่งขันที่ต้องการได้เสมอ ทำให้ โซลชา ได้รับการขนานนามจากสื่อและแฟนบอลว่า สุดยอดกองหน้าซูเปอร์ซับ โดยสิ่งที่ถูกกล่าวขานมากที่สุด คือการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศในศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ที่เจอกับสโมสร บาเยิร์น มิวนิค ในปี 1999 ที่ในขณะนั้นทีมตามหลังอยู่ 1-0  โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ถูกส่งลงไปแทนกองหน้าในขณะนั้นอย่าง แอนดี้ โคล ในนาทีที่ 81 และช่วงเวลาหลังจากนั้น คือสิ่งที่เรียกว่า “ตำนาน”

พัฒนาการของชายที่ชื่อ ปอล ป็อกบา

หากนับจากปฏิทินปี 2019 ปอล ป็อกบา ดาวเตะชาวฝรั่งเศส กองกลางของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือเป็นหนึ่งใน
นักเตะที่มีฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งของยุโรป ซึ่งช่างแตกต่างราวฟ้ากับดินเมื่อเทียบกับฟอร์มการเล่นก่อนหน้า ที่ในขณะนั้นยังโดนกระแสแฟนบอลโจมตีทางจากทั่วทุกสารทิศ จนถึงขนาดเรียกร้องให้สโมสรปล่อยตัวดาวเตะรายนี้ออกจากทีมโดยเร็วที่สุด

                ด้วยสไตล์การเล่นที่ไม่ค่อยช่วยเหลือทีมในเรื่องของเกมรับ และการแสดงออกที่ดูไม่มีความทุ่มเทและมุ่งมั่นมากเท่าที่ควร  รวมถึงสิ่งที่สื่อหลายสำนักได้เปิดเผยว่า เจ้าตัวทำตัวมีปัญหากับผู้จัดการทีม จนถึงขั้นเคยมีคลิปหลุดออกมาให้เหล่าแฟนบอลได้เห็น ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่มีกระแสดังกล่าวเกิดขึ้น

                แต่ภายหลังเมื่อสงครามภายในจบลง และเป็นฝ่ายผู้จัดการทีมอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือชาวโปรตุเกส ที่เป็นผู้พ่ายแพ้ไป ปอล ป็อกบา ก็ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั้งในและนอกสนามไปเป็นคนละคน เมื่อสโมสรได้ประกาศแต่งตั้ง
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ตำนานกองหน้าของสโมสร ผู้เป็นโค้ชฝึกสอนให้กับ ป็อกบา ในอดีตเมื่อสมัยอยู่ในทีมเยาวชน เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีม

                ซึ่งพอได้กลับมาร่วมงานกลับกุนซือที่รู้ใจ ก็ส่งผลให้ ปอล ป็อกบา กลับมามีผลงานการเล่นที่โดดเด่น มีความทุ่มเทและมุ่งมั่นให้กับสโมสร จนกลายเป็นศูนย์กลางการสร้างทีมของผู้จัดการทีมคนใหม่ทันที กลบกระแสแฟนบอลและนักวิเคราะห์ที่คอยวิจารณ์ผลงานและการแสดงออกของเจ้าตัวได้อย่างสิ้นเชิง

                จากสถิติการเล่นของเจ้าตัวในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก ป็อกบา มีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูเฉลี่ยอยู่ที่ 0.45 ประตูต่อเกม โดยมีโอกาสยิงต่อเกมเฉลี่ย 2.93 ครั้ง จ่ายสร้างสรรค์โอกาส 1.63 ครั้ง และสกัดบอลคู่แข่งสำเร็จเฉลี่ย 1.07 ครั้งต่อเกม แต่พอภายหลังการเข้ามาคุมทีมของโซลชา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เหมือนได้นักเตะใหม่เข้ามาด้วย เมื่อปอล ป็อกบา ได้สร้างผลงานอย่างเหลือเชื่อ โดยมีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูในทุกๆ 78 นาที คิดเป็นค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.15 ประตูต่อเกม มีโอกาสยิงต่อเกมสูงถึง 3.56 ครั้ง ผ่านบอลสร้างสรรค์โอกาส 1.86 ครั้ง และสกัดบอลคู่แข่งสำเร็จ 1.86 ครั้งต่อเกม เรียกได้ว่าภายหลังการเข้ามาของผู้จัดการทีมคู่ใจ ป็อกบา ได้กลายเป็นหนึ่งในกองกลางที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดในยุโรปทันที

                โดยจากผลงานการเล่นที่โดดเด่นขนาดนี้ ทำให้ดาวเตะชาวฝรั่งเศส ตกเป็นเป้าหมายการเสริมทัพของเหล่าทีมชั้นนำทั่วยุโรปไม่ว่าจะเป็นการแย่งตัวกันระหว่างสโมสรคู่แค้นอย่าง บาร์เซโลน่า กับ เรอัล มาดริด ภายใต้กุนซือคนใหม่หน้าเดิมที่เป็นคนบ้านเดียวกันอย่าง ซีเนดีน ซีดาน หรือแม้กระทั่งทีมเก่าอย่าง ยูเวนตุส ก็ยังต้องการตัวกลับไปร่วมทีม

                ตอนนี้สถานการณ์ได้กลับกันเป็นที่เรียบร้อย จากที่กองกลางตัวตัดผมรายนี้เคยไม่เป็นที่ต้องการของเหล่าแฟนบอล ยูไนเต็ด กลับกลายเป็นว่า บรรดาแฟนบอลของสโมสรได้แต่ภาวนาให้ ปอล ป็อกบา ไม่ขอย้ายทีมและฝากอนาคตกับสโมสรในระยะยาว เพื่อพาสโมสรกลับไปอยู่ในจุดที่เคยยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

ซิตี้ 4 แชมป์ ความเป็นไปไม่ได้ที่อาจเป็นไปได้

“หนึ่งในคำถามที่ผมถูกถามบ่อยมากคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะมีโอกาสคว้าแชมป์ทั้ง 4 รายการได้มากแค่ไหน ซึ่งในฐานะผมเป็นคนของ ยูไนเต็ด ที่ก่อนหน้านี้ผมออกตัวมาตลอดว่าอยากเห็น ซิตี้ เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ดีกว่าให้ลิเวอร์พูลได้แชมป์แรก ตอนนี้ผมคงบอกได้แต่เพียงว่า บางทีผมอาจต้องยอมเลือกข้างใหม่เสียแล้ว” นี่คือคำกล่าว ไรอัน กิ๊กส์ ตำนานปีกพ่อมดของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

                ปัจจุบัน โปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลทั่วยุโรป ในฤดูกาล 2018/2019 ได้ดำเนินมาถึงช่วงท้ายฤดูกาลเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถือเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีฟอร์มการเล่นร้อนแรงมากที่สุดในยุโรป โดยก่อนหน้านี้พึ่งชนะสโมสร
 เชลซี ไป จนคว้าแชมป์ลีกคัพมาครองได้ในที่สุด และยังอยู่บนเส้นทางของการที่จะคว้าแชมป์ทุกรายการที่ลงแข่งขัน

                ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าเส้นทางแห่งการคว้าแชมป์จะโรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อล่าสุด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ตกรอบฟุตบอลถ้วย เอฟเอคัพ เป็นที่เรียบร้อย เท่ากับว่าเหล่าทีมชั้นนำทั้งหลายได้พากันตกรอบจนเหลือแค่ ซิตี้ ทีมเดียวที่เป็นทีมระดับตัวเต็งที่เหลืออยู่ในรายการนี้ แถมในเส้นทางรายการยุโรป ก็ยังโคจรมาเจอกับทีมรู้จักกันดี และไม่ถือว่าแข็งจนเกินไปอย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์

                แล้ว เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีโอกาสแค่ไหนในการที่จะพา ซิตี้ คว้า 4 แชมป์ได้ในฤดูกาลเดียว

                ถ้าตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ก็ต้องเรียนตามตรงว่าค่อนข้างยาก เนื่องจากอย่าว่าแต่ 4 แชมป์เลย แค่เพียง
ทริปเปิ้ลแชมป์ ก็ถือว่ายากมากแล้ว เพราะจากในอดีตที่ผ่านมามีสโมสรจากอังกฤษเพียงทีมเดียวที่เคยทำได้ นั่นคือ สโมสรคู่แข่งร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 1999 ซึ่งเวลาก็ได้ผ่านล่วงเลยมากว่า 20 ปี ยังไม่มีสโมสรไหนในประเทศที่สามารถทำลายสถิตินี้ได้เลย

                โดยเหตุผลที่ทำให้เป็นเรื่องยากลำบากในการที่จะทำลายสถิติคือจำนวนเกมการแข่งขัน ที่หากรายการบอลถ้วยยิ่งผ่านเข้ารอบลึกเท่าไหร่ ยิ่งต้องลงเล่นถี่ขึ้นในช่วงท้ายฤดูกาล ทำให้นักเตะเกิดอาการล้าและไม่สามารถโชว์ศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ แถมโดยเฉพาะในประเทศอังกฤษที่มีการแข่งขันให้เข้าร่วมได้ถึง 4 รายการ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะคุมผลการแข่งขันให้ออกมาตามแผนที่วางไว้

                แต่หากมองถึงในแง่ฟอร์มอันร้อนแรงของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั้น จะมีใครกล้าปฏิเสธว่าไม่มีโอกาสเป็นไปได้ เพราะตลอดการลงเล่นตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา ซิตี้ มีสถิติในการยิงประตูคู่แข่งเฉลี่ยทุกๆ 31 นาที คิดเป็นค่าเฉลี่ยการยิงประตูอยู่ที่
 2.9 ประตูต่อเกม โดยมีโอกาสยิงเฉลี่ยต่อเกม 17.7 ครั้ง และทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้การครองบอลเฉลี่ยถึง 63 เปอร์เซ็นต์ต่อเกม

                ฉะนั้น หากมองที่ฟอร์มการเล่นและสถิติในปัจจุบัน ก็ต้องถือว่ายังมีโอกาสที่ ซิตี้ อาจเป็นทีมแรกที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการฟุตบอลอังกฤษได้สำเร็จ ในทางกลับกันหากมองถึงอดีตที่เคยมีมา ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้น แต่ต้องไม่ลืมว่า  เรื่องที่ใครๆบอกว่ายาก กุนซือคนปัจจุบันอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็พึ่งทำสำเร็จมาแล้ว ด้วยการพา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกในวงการฟุตบอลอังกฤษ ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยคะแนนสูงถึง 100 คะแนน เมื่อฤดูกาลก่อน

เหตุใดซีดานจึงต้องการ ซาดิโอ มาเน่

ภายหลังที่ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด ประกาศแต่งตั้ง ซีเนดีน ซีดาน อดีตกุนซือชาวฝรั่งเศส ผู้สร้างตำนานการพาสโมสรประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก สามสมัยติดต่อกัน กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมอีกครั้ง ก็มีกระแสข่าวเกิดขึ้นอย่างหนาหูว่าทาง ซีดาน ต้องการให้สโมสรเดินหน้าคว้าตัวเหล่าสตาร์ชั้นนำของยุโรป เพื่อถ่ายเลือด
นักเตะใหม่ๆเข้ามาและพาสโมสรกลับมาเดินหน้าคว้าความสำเร็จอีกครั้ง

                หนึ่งในนักเตะที่ทางสื่อชั้นนำของสเปนต่างรายงานว่า นักเตะที่ ซีเนดีน ซีดาน ต้องการให้สโมสรคว้าตัวมาร่วมทีมให้ได้ นั่นคือ ซาดิโอ มาเน่ ปีกความเร็วสูงชาวเซเนกัลของสโมสรหงส์แดง ลิเวอร์พูล ที่ปัจจุบันกำลังโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง และเป็นส่วนสำคัญในการช่วยต้นสังกัดไล่ล่าคว้าความสำเร็จในคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก อยู่ในขณะนี้ร่วมกันกับผู้เล่นในแนวรุกอย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์

                แล้วเหตุใด ทำไม ซีดาน ถึงต้องการตัว ซาดิโอ มาเน่

                อย่างแรกต้องยอมรับว่า ปัจจุบันผู้เล่นแนวรุกในตำแหน่งปีกของสโมสร เรอัล มาดริด ต่างประสบปัญหากับฟอร์มการเล่นที่ไม่สม่ำเสมอ จึงไม่น่าแปลกใจที่ภายหลังการกลับมาของกุนซือชาวฝรั่งเศส จะต้องการคว้าตัวนักเตะในตำแหน่งปีกมาเป็นอันดับแรกๆ และก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า มาเน่ ถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดในขณะนี้

                นอกเหนือจากนั้น ดาวเตะชาวเซเนกัล ยังมีความโดดเด่นเรื่องสภาพร่างกายที่แข็งแกร่ง ความเร็วที่พร้อมจะกระชากหนีตัวประกบไปได้อย่างง่ายดาย และประสิทธิภาพการทำลายตาข่ายคู่แข่งที่ยอดเยี่ยม โดยจากสถิติการลงเล่นตลอดฤดูกาลนี้ให้กับสโมสรของ ซาดิโอ มาเน่ พบว่า เจ้าตัวมีค่าเฉลี่ยในการทำลายประตูฝ่ายตรงข้ามอยู่ที่ 0.60 ประตูต่อเกม กระชากผ่านคู่แข่งสำเร็จต่อเกมเฉลี่ย 1.6 ครั้ง โดยมีสถิติที่เหนือกว่า ดาวเตะในทีมราชันชุดขาวคนปัจจุบันอย่าง แกเร็ธ เบล ที่มีค่าเฉลี่ยในการทำประตูและการเลี้ยงผ่านคู่แข่งสำเร็จในฤดูกาลนี้อยู่ที่เพียงแค่ 0.47 ประตูและ 0.8 ครั้งตามลำดับ

                และที่ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความทุ่มเทและความฟิตที่ไม่มีหมด ทำให้ ซาดิโอ มาเน่ ไม่ได้มีดีเพียงแค่การเล่นในเกมรุก แต่ยังช่วยเหลือทีมในเรื่องของเกมรับด้วย โดยภาพที่แฟนบอล ลิเวอร์พูล พบเห็นได้อย่างชินตา คือภาพที่นักเตะรายนี้พยายามวิ่งไล่เอาบอลคืนจากคู่แข่งและสวนกลับอย่างรวดเร็ว รวมถึงเมื่อดูจากสถิติในฤดูกาลนี้จะพบว่า มาเน่ มีสถิติในการสกัดคู่แข่งสำเร็จอยู่ที่ 1.1 ครั้งต่อเกมเลยทีเดียว

                โดยที่กล่าวมาทั้งหมด ยังไม่ร่วมถึงจุดเด่นอีกอย่าง นั่นคือด้านความเป็นมืออาชีพของเจ้าตัว ที่มักจะไม่เคยเรียกร้องหรือมีปัญหาใดๆกับทางสโมสรและผู้จัดการทีม เรียกได้ว่าเปรียบดั่งขุนพลข้างกายที่พร้อมน้อมรับคำบัญชาจากกุนซือได้โดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งจุดนี้แหละ ที่อาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการพาสโมสรกลับไปสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

โซลชา เซ้งรถบัสต่อจากน้ามูจริงหรอ

“ผู้จัดการทีมที่เข้ามาทำงานต่อจากผม เปลี่ยนสไตล์การเล่นฟุตบอลของทีมเป็นเน้นเกมรับแล้วรอสวนกลับ ผู้จัดการทีมที่เข้ามาหลังจากเขาก็เล่นในสไตล์เดียวกัน สิ่งที่ต่างกันระหว่างสองคนนี้มีเพียงแค่ โซลชา เก็บผลการแข่งขันได้ดีกว่าเท่านั้น แต่นี่เป็นเรื่องจริงที่ปัจจุบัน ยูไนเต็ด ไม่ได้เล่นในสไตล์ที่ เฟอร์กูสัน สร้างเอาไว้” นี่คือสิ่งที่ หลุยส์ ฟาน กัล อดีตกุนซือที่เคยร่วมงานกับสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ให้สัมภาษณ์ความเห็นกับสื่อถึงสไตล์การเล่นของทีมในปัจจุบัน

                ตลอดภายหลังการเข้ามาคุมทีมตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคม โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้เข้ามาสร้างปรากฏการณ์ต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการพาทีมกลับมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม บรรยากาศในทีมที่ดีขึ้น เหล่านักเตะต่างโชว์ศักยภาพในการเล่นได้ราวกับเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้ กล่าวได้ว่า โซลชา คือผู้ที่เข้ามานำพาสโมสรกลับมาสู่ทิศทางที่ควรจะเป็นอีกครั้ง

                แต่ถ้าย้อนกลับมาถามว่า สิ่งที่ตำนานกุนซือชาวดัตช์ได้กล่าวไว้ ผิดไปจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไหม ก็คงปฏิเสธไม่ได้ เนื่องจากเวลาเจอกับเหล่าทีมชั้นนำในประเทศและต่างประเทศ โซลชา มักจะวางแผนการเล่นที่เน้นรับต่ำและรอสวนกลับอย่างรวดเร็วโดยใช้จังหวะที่น้อยที่สุด อย่างที่ หลุยส์ ฟาน กัล ได้กล่าวไว้จริงๆ

ในทางกลับกัน นั่นก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด เพราะเวลาที่ ยูไนเต็ด เจอกับทีมที่เป็นรองกว่า ก็จะพบเห็นสไตล์การเล่นที่ดันแผงกองหลังสูงและครองบอลบุกใส่คู่แข่งอยู่เสมอโดยที่ไม่มีใส่เกียร์ถอยหลังแม้แต่นิดเดียว และถึงแม้เวลาเจอกับทีมที่มีระดับพอๆกัน ก็มักจะเร่งสปีดเกมสวนกลับอย่างรวดเร็ว ต่อบอลกันเพียงไม่กี่จังหวะก็ถึงหน้ากรอบประตูและพร้อมลงโทษคู่ต่อสู้ ซึ่งจะแตกต่างจากในยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือชาวโปรตุเกส ที่ถึงแม้จะเล่นเกมรับและสวนกลับเหมือนกัน แต่เวลาสวนกลับมักจะมีความเร็วที่ช้า จนทำให้ทีมฝ่ายตรงข้ามกลับไปประจำตำแหน่งในเกมรับกันได้ทันท่วงที

นอกจากที่กล่าวมา ยังสามารถยืนยันได้จากสถิติที่ตลอดการเข้ามาคุมทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา สามารถพาทีมพังตาข่ายคู่แข่งได้ทุกๆเฉลี่ยทุกๆ 38 นาที คิดเป็นค่าเฉลี่ยประตูต่อเกมอยู่ที่ 2.31 ประตู ในขณะที่ทางฝั่งของ มูรินโญ่ ในฤดูกาลนี้จะมีสถิติการพังประตูคู่แข่งเฉลี่ยทุกๆ 60 นาที หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยการทำประตูต่อเกมอยู่ที่ 1.5 ประตู

และหากมองในแง่ของเกมรับจะพบว่า ค่าเฉลี่ยการเสียประตูต่อเกมของโซลชานั้นอยู่ที่เพียง 0.69 ประตูต่อเกมเท่านั้น แตกต่างจากทางฟากฝั่งของ มูรินโญ่ ที่ตลอดการพาทีมลงแข่งขันในฤดูกาลนี้ มีสถิติการเสียประตูอยู่ที่ทุกๆ 61 นาที หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.46 ประตูต่อเกม

ดังนั้น หากจะกล่าวว่า โซลชา มีวิธีการทำทีมที่มีสไตล์การเล่นที่ไม่แตกต่างจากในยุคของ มูรินโญ่ ก็คงไม่ยุติธรรมต่อเจ้าตัวสักเท่าไหร่ และเช่นเดียวกัน วิธีการทำทีมของเขาก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับสไตล์การเล่นในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตผู้จัดการทีมระดับตำนานของสโมสร แต่สิ่งที่ทำให้เหล่าแฟนบอลรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เหมือนกับ ยูไนเต็ด ในอดีตนั้น อาจเป็นเพราะ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา รู้จักความหมายของสโมสรแห่งนี้ดีว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คืออะไร

เหตุใดบาเยิร์นจึงทุ่มซื้อ ลูคัส เอร์นาเดซ

นี่ถือเป็นสัญญาณบอกเหตุอีกครั้ง ที่ยืนยันได้ว่าทางสโมสร บาเยิร์น มิวนิค กำลังวางแผนตั้งใจเปลี่ยนถ่ายนักเตะสายเลือดใหม่เข้ามาสู่สโมสร ภายหลังพึ่งประกาศคว้าตัวแนวรับดาวรุ่งดีกรีแชมป์โลกชาวฝรั่งเศสอย่าง เบนฌาแมง ปาวาร์ จากสโมสร สตุ๊ตการ์ท และกำลังมีข่าวอย่างหนักกับดาวรุ่งชาวอังกฤษอย่าง คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ปีกทีมชาติอังกฤษดีกรีแชมป์โลกชุด ยู-17 จากสโมสรเชลซี และในรายล่าสุดเจ้าของค่าตัวกองหลังสถิติโลกอันดับที่สองอย่าง ลูคัส เอร์นานเดซ

จากการที่เจ้าตัวได้รับความสนใจจากบรรดาทีมชั้นนำของยุโรปมาโดยตลอด สุดท้ายเป้าหมายต่อไปของดาวรุ่งรายนี้ก็เป็นที่แน่ชัดเสียที เมื่อทางสโมสร บาเยิร์น มิวนิค ประกาศคว้าตัว ลูคัส เอร์นานเดซ กองหลังดาวรุ่งจากสโมสร
แอตเลติโก มาดริด ด้วยมูลค่าสูงถึง 80 ล้านยูโร และถือเป็นการทำลายสถิติใหม่ของสโมสร ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าแปลกมากเพราะโดยปกติแล้ว บาเยิร์น มิวนิค ถือเป็นหนึ่งในสโมสรยักษ์ใหญ่ที่มักจะไม่ค่อยทุ่มเงินกับการซื้อนักเตะเพียงรายเดียว แล้วเหตุใด นักเตะรายนี้จึงเป็นข้อยกเว้น

                ลูคัส เอร์นานเดซ  กองหลังดาวรุ่งชาวฝรั่งเศส ที่การันตีความสามารถด้วยการเป็นหนึ่งในขุนพลที่พาทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์โลกสมัยล่าสุดมาครองได้สำเร็จ โดยตำแหน่งหลักที่เจ้าตัวเล่นให้กับทางสโมสรและทีมชาติคือ ตำแหน่งแบ็คซ้าย แต่หากถึงคราวที่จำเป็น ก็สามารถที่จะหุบมาเล่นในตำแหน่งปราการหลังตัวกลาง และยังทำผลงานได้อย่างโดดเด่นเช่นเดียวกัน

                 “เขาเป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังสามารถเล่นได้ทั้งแบ็คฝั่งซ้ายและเซนเตอร์แบ็ก ซึ่งการมาของ ลูคัส จะทำให้สโมสรของเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น” นี่คือคำกล่าวของ ฮาซาน ซาลิฮามิดซิช ผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร
บาเยิร์น มิวนิค ที่ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประกาศคว้าตัวกองหลังรายนี้

                ไม่ใช่แค่ตำแหน่งการเล่นในแผงกองหลังที่หลากหลาย แต่จุดเด่นที่แท้จริงของดาวเตะชาวฝรั่งเศสรายนี้คือ การเล่นเกมรับที่เหนียวแน่นและมีประสิทธิภาพ โดยตลอดการลงเล่นในฤดูกาลนี้ ลูคัส เอร์นานเดซ มีสถิติในการเคลียร์บอลอันตรายเฉลี่ยสูงถึง 3.4 ครั้งต่อเกม เข้าสกัดคู่แข่งสำเร็จเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 2.5 ครั้ง และยังมีความสามารถในการดวลชนะลูกกลางอากาศเฉลี่ย 1.6 ครั้งต่อเกม เรียกได้ว่าหากทีมคู่แข่งต้องการเจาะเกมรุกทางฝั่งของเขา คงเป็นเรื่องยากที่จะผ่านเจ้าตัวไปได้ และด้วยอายุที่อยู่ในวัยเพียง 23 ปี ทำให้ดาวรุ่งรายนี้ถูกจับตามองในฐานะกองหลังที่อาจก้าวขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆของโลกได้ในอนาคต

                จากความสามารถที่กล่าวมา จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดที่ทาง บาเยิร์น ตัดสินใจคว้าตัวกองหลังรายนี้ด้วย
มูลค่าที่เป็นสถิติสโมสร ตอนนี้ก็ได้แต่รอเวลาที่เจ้าตัวจะมาโชว์ศักยภาพให้เหล่าแฟนบอลได้เห็นว่าเหมาะสมกับเงินที่ลงทุนไปหรือไม่ เพระท้ายที่สุดแล้วเราต้องไม่ลืมว่า “สถิติในอดีต ไม่ได้เป็นตัวยืนยันความสามารถในอนาคต”

ควรต่อสัญญาหรือไม่กับชายที่ชื่อ อันเดร์ เอร์เรร่า

อันเดร์ เอร์เรร่า กองกลางชาวสเปนจากสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีแฟนบอลสโมสรชื่นชอบมากที่สุด ด้วยบุคลิกความทุ่มเทในสนามที่มักจะวิ่งเหมือนมีถังเก็บพลังงานสำรอง และความรักที่มีต่อสโมสร จึงไม่น่าแปลกใจที่ เอร์เรร่า จะเป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่ได้รับการโหวตจากแฟนบอลให้เป็นว่าที่กัปตันทีมปีศาจแดง
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในอนาคต

                แต่ในปัจจุบัน สัญญาของ เอร์เรร่า กับทางสโมสรกลับไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ทั้งที่สื่ออังกฤษต่างลงข่าวอยู่เสมอว่า สโมสรได้เปิดเจรจาต่อสัญญากับเจ้าตัวเป็นที่เรียบร้อย แต่ท้ายที่สุดแล้ว เห็นจะมีก็แต่สื่อมวลชนที่เล่นประเด็นนี้กันอย่างสนุกสนาน เพราะเจ้าตัวได้ออกมายืนยันเป็นที่เรียบร้อยว่า ยังไม่ได้เจรจาเซ็นสัญญาใหม่กับทางต้นสังกัด

                ท่ามกลางกระแสข่าวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ล่าสุดเจ้าตัวได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อในประเด็นดังกล่าวว่า “ถือเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่คุณเหลือสัญญากับทางสโมสรอีกเพียงแค่ 3 เดือน เพียงแต่ในตอนนี้ผมสนใจแค่ผลงานในสนามตลอดฤดูกาลที่เหลือ ส่วนเรื่องอื่นผมปล่อยให้เอเยนต์เป็นคนจัดการ ทั้งการเจรจาสัญญากับทางสโมสร และโอกาสความเป็นไปได้ในการย้ายทีม”

                กลายเป็นว่าเหมือนหนังคนละม้วน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา อันเดร์ เอร์เรร่า มักให้สัมภาษณ์กับสื่อในทิศทางที่ว่า พร้อมที่จะค้าแข้งกับสโมสรไปอีกนาน แต่ในตอนนี้สถานการณ์กลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แล้วถ้าดาวเตะชาวสเปนรายนี้ตัดสินใจย้ายออกจากสโมสร จะมีผลกระทบอะไรเกิดขึ้นต่อทีมบ้าง

                จากสถิติในการเล่นตลอดฤดูกาล 2018/2019 พบว่า เอร์เรร่า ถือเป็นนักเตะที่เข้าสกัดคู่แข่งสำเร็จมากกว่าทุกๆคนในทีม โดยเข้าสกัดคู่แข่งเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 2.4 ครั้ง เหนือกว่า เนมานย่า มาติช หรือแม้กระทั่งผู้เล่นในตำแหน่งกองหลังอย่าง
วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่มีสถิติการเข้าสกัดเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 1.9 และ 1.3 ครั้งตามลำดับ นอกเหนือจากการเข้าสกัดแล้ว เอร์เรร่า ยังมีความสามารถในการแย่งบอลจากคู่แข่งสูงที่สุดในทีมอีกด้วย โดยมีสถิติการแย่งบอลจากเท้าคู่แข่งสำเร็จอยู่ที่ 1.9 ครั้งต่อเกม

                ยิ่งไปกว่านั้น หากมองที่วิธีการเล่นของเจ้าตัว ที่มักจะคอยวิ่งช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมให้สามารถจ่ายบอลหนีตัวประกบได้ง่าย และถ่ายเทบอลได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ทีมเสียการครองบอลยากกว่าเดิมเวลาที่นักเตะรายนี้อยู่ในสนาม และการเล่นบอลที่ชาญฉลาดนี้เอง ที่ทำให้ได้รับคำชื่นชมอย่างมากจาก โชเซ่ มูรินโญ่  อดีตผู้จัดการทีมของสโมสร โดยเหตุการณ์ที่ทำให้ มูรินโญ่ ยกย่อง เอร์เรร่า เป็นอย่างมาก คือเหตุการณ์ที่ มิดฟิลด์รายนี้เคยขัดคำสั่งที่เขาต้องการให้เจ้าตัวเข้าไปยืนในกรอบเขตโทษ แต่เขาเห็นเพื่อนร่วมทีมมีความสามารถในการทำประตูมากกว่า จึงได้สั่งให้เพื่อนร่วมทีมสลับตำแหน่งกับตัวเอง และนี่คือที่มาของประตูชัยที่ส่งผลให้ทีมเอาชนะ อาแจ็กซ์ และคว้าแชมป์ ยูโรปา ลีก มาครองได้ในที่สุด

                เพราะฉะนั้นแล้ว หากทาง ยูไนเต็ด ไม่สามารถที่จะเจรจาต่อสัญญาใหม่กับดาวเตะชาวสเปนรายนี้ได้ คงเป็นเรื่องน่าเสียดายและคงสร้างผลกระทบอย่างมากต่อทีมแน่นอน เพราะถึงแม้ในโลกฟุตบอลจะมีกองกลางที่มีทักษะมากมายเพียงใด แต่คงจะหาได้ยากกับชายที่รักและทุ่มเททุกอย่างให้กับสโมสรโดยไม่สนชื่อเสียงส่วนตัว ชายที่เล่นฟุตบอลได้อย่างชาญฉลาด ชายที่ชื่อ อันเดร์ เอร์เรร่า

ภารกิจการผ่าตัดทีมครั้งใหญ่ของ ยูไนเต็ด

มีพบเจอก็ต้องมีลาจาก เมื่อบรรดาสโมสรทั้งหลายต่างจำเป็นต้องปลดระวางนักเตะบางคนออกจากทีม โดยถึงแม้จะมีความผูกพันกับเหล่านักเตะมากเพียงใด ก็จำต้องปล่อยให้นักเตะเหล่านั้นเดินจากไปเพื่อให้สโมสรสามารถเดินหน้าคว้าความสำเร็จต่อไปได้ เปรียบได้กับยานพาหนะที่เมื่อถึงเวลาต้องได้รับการบำรุงรักษา อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายอะไหล่ของเก่าออกไปบ้าง และนำของใหม่มาใส่เพื่อให้กลับมาขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อีกครั้ง

                เมื่อหันมามองที่สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ล่าสุดได้ประกาศแต่งตั้ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการ ภายหลังการทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในตอนได้รับโอกาสเข้ามาคุมทีมชั่วคราว ซึ่งหาก โซลชา ต้องการพาทีมเดินหน้าเพื่อท้าทายความสำเร็จ อาจจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนถ่ายนักเตะบางรายที่ไม่อยู่ในแผนงานที่วางไว้ในอนาคต เพื่อเปิดทางให้เหล่าบรรดานักเตะใหม่ได้เข้ามาสู่สโมสร

แล้วนักเตะรายใดบ้าง ที่เข้าข่ายในการที่สโมสรจำเป็นที่จะต้องถ่ายเลือดเก่าออกจากทีม

                มาร์กอส โรโฮ ปราการหลังชาวอาร์เจนตินา ที่อดีตผู้จัดการทีมอย่าง หลุยส์ ฟาน กัล ซื้อเข้ามาเพื่อใช้งานเป็นตัวหลักในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็คฝั่งซ้าย โดยได้ลงสนามอย่างต่อเนื่องมาจนถึงในช่วงแรกๆของยุคกุนซือ โชเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งโดยรวมแล้วถือว่าทำผลงานได้ค่อนข้างดีเสมอเมื่อได้รับโอกาส แต่ติดปัญหาที่ว่า ปราการหลังรายนี้มักจะประสบปัญหาอาการบาดเจ็บอยู่เสมอ ทำให้ไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างต่อเนื่อง และหากมองไปที่สถิติในการลงสนามจะพบว่า  มีโอกาสลงเล่นรวมกันทั้งสิ้นไม่ถึง 50 นัดตลอด 4 ฤดูกาลหลังสุด

                มัตเตโอ ดาร์เมียน แบ็คขวาชาวอิตาลี ผู้ที่ภายหลังการลงสนามในช่วงแรก แฟนบอลต่างขนานนามว่า เขาคือ

แกรี่ เนวิลล์ คนใหม่แห่งยูไนเต็ด แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นาน กลับประสบปัญหาไม่สามารถปรับตัวเข้ากับลีกอังกฤษได้เลย จนส่งผลให้มักจะถูกเลือกเป็นตัวสำรองอยู่เสมอ โดยตลอดการลงเล่นให้กับสโมสร ดาร์เมียน มีสถิติการลงเล่นรวมกัน 4 ฤดูกาลไม่ถึง 50 นัด เช่นเดียวกับในรายของ มาร์กอส โรโฮ

                อันโตนิโอ วาเลนเซีย หนึ่งในมรดกที่ตกทอดมาจากยุคสมัยที่รุ่งเรืองของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตตำนานผู้จัดการทีมของสโมสร โดยในกรณีของ วาเลนเซีย นั้น สัญญากับสโมสรจะหมดลงเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลนี้ และจากการที่เจ้าตัวอยู่ในวัยที่โรยราแล้ว ทำให้ทาง โซลชา น่าจะถือโอกาสในการถ่ายเลือดเก่า และดันดาวรุ่งอย่าง ดีโอโก้ ดาล็อต สลับกับทาง แอชลีย์ ยัง ที่พึ่งได้รับการต่อสัญญาไปมากกว่า

                อเล็กซิส ซานเชซ ปีกซ้ายที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงที่สุดของสโมสร ที่ตอนแรกสโมสรหวังซื้อเพื่อตัดหน้าคู่แข่งอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาในเกมรุกของทีม แต่ปรากฏว่า นี่ไม่ใช่ อเล็กซิส ซานเชซ คนเดิมที่เหล่าแฟนบอลเคยรู้จัก เมื่อพบว่าปัจจุบัน ดาวเตะรายนี้ทำผลงานได้น่าผิดหวังมากที่สุดคนหนึ่งของทีมในขณะนี้

                โดยทั้งหมดที่กล่าวมา ยังไม่รวมถึงในรายของ ฆวน มาต้า หรือ อันเดร์ เอร์เรร่า ที่สัญญากับสโมสรใกล้จะหมดลงในเร็ววัน ฉะนั้นแล้ว สโมสรควรดำเนินการตัดสินใจให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้เตรียมพื้นที่ว่างสำหรับเฟ้นหานักเตะที่จะเข้ามาเติมเต็มศักยภาพของทีม และพา ยูไนเต็ด กลับมาสู่เส้นทางความสำเร็จอีกครั้ง

สามสุดยอดขุนพล ที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดในขณะนี้

ตลอดการสู้ศึกฟุตบอลทวีปยุโรปในฤดูกาลนี้ ได้เกิดการแข่งขันกันอย่างดุเดือดในทุกๆ ประเทศ โดยทุกสโมสรต่างต้องการคว้าถ้วยรางวัลภายในประเทศ และถ้วยรางวัลที่แข่งขันกันในระดับทวีปเพื่อนำมาเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จของสโมสร แต่แน่นอนว่าหากไม่มีขุนพลชั้นนำที่จะคอยทะลวงตาข่ายคู่ต่อสู้เพื่อโจมตีทีมคู่แข่งให้พ่ายแพ้ในการสู้ศึกนั้น คงเป็นการยากที่จะประสบความสำเร็จได้

แล้วเหล่าขุนพลที่จะคอยทะลวงปราการหลังคู่แข่งให้กับสโมสร และกำลังผลงานได้อย่างโดดเด่นเป็นที่จับตามองในขณะนี้มีใครกันบ้าง

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หนึ่งในดาวยิงชั้นนำตลอดทศวรรษชาวโปรตุเกสของสโมสร ยูเวนตุส ที่อายุไม่อาจรั้งฝีมือหรือศักยภาพในตัวนักเตะรายนี้ได้เลย โดยในปัจจุบันถึงจะเข้าสู่วัย 34 ปีแล้ว ก็ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จากผลงานตลอดการลงเล่นในฤดูกาลนี้ โรนัลโด้ มีส่วนร่วมกับประตูของสโมสรที่ทำได้เฉลี่ยทุกๆ 83 นาทีที่ได้ลงสนาม โดยคิดเป็นค่าเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 1.08 ประตูต่อ ชนะการดวลกลางอากาศเฉลี่ยต่อเกม 1 ครั้ง เปอร์เซ็นต์การผ่านบอลสำเร็จ 85.3 เปอร์เซ็นต์ และสร้างโอกาสยิงในแต่ละเกมเฉลี่ยสูงถึง 6.1 ครั้ง เรียกได้ว่านับตั้งแต่การย้ายมาของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้จุดประกายความหวังแก่เหล่าแฟนบอล ยูเวนตุส ว่า จะสามารถนำพาสโมสรกลับไปประสบความสำเร็จในเวทียุโรปอีกครั้ง

คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ดาวยิงวัยคะนองแห่งสโมสร ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ดีกรีดาวรุ่งผู้สามารถพาทีมชาติฝรั่งเศส คว้าแชมป์โลกสมัยล่าสุดไปครองได้สำเร็จ และถือว่าเป็นดาวรุ่งที่ได้รับการจับมองมากที่สุดในขณะนี้ โดยตลอดการลงเล่นในฤดูกาลนี้ของเจ้าหนู เอ็มบัปเป้ มีสถิติการเลี้ยงผ่านคู่แข่งสำเร็จเฉลี่ยสูงถึง 2.3 ครั้งต่อเกม มีส่วนร่วมกับประตูที่ทางสโมสรทำได้ในทุกๆ 65 นาที คิดเป็นค่าเฉลี่ยการมีส่วนร่วมกับประตูสูงถึง 1.39 ประตูต่อเกม จึงเป็นเหตุให้ยามใดที่สโมสรขาดดาวยิงอย่าง เนย์มาร์ หรือ เอดินสัน คาวานี่ เหล่าแฟนบอลต่างไม่เคยแสดงความรู้สึกกังวลแต่อย่างใด หากมีศูนย์หน้าดาวรุ่งชาวฝรั่งเศสรายนี้อยู่ในสนาม

และแน่นอนว่าในรายสุดท้าย คงเป็นเรื่องน่าแปลกใจหากจะไม่พูดถึงศูนย์หน้าผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์อย่าง
ลิโอเนล เมสซี่ ดาวยิงกัปตันสโมสร บาร์เซโลน่า ที่ในฤดูกาลนี้กลับมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้ง เมื่อมีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูที่สโมสรทำได้เฉลี่ยสูงถึง 1.57 ต่อเกม หรือในทุกๆ 57 นาทีที่ได้อยู่ในสนาม ยิ่งไปกว่านั้น เมสซี่ ยังมีสถิติการจ่ายลูกสร้างสรรค์โอกาสและการเลี้ยงผ่านคู่แข่งสำเร็จเฉลี่ยต่อเกมสูงถึง 3.1 ครั้งและ 3.8 ครั้งตามลำดับ โดยถ้าหากนับเฉพาะสถิติที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ลิโอเนล เมสซี่ ถือว่าเป็นนักเตะกองหน้าที่กำลังทำผลงานได้ดีที่สุดในทวีปยุโรปตลอดทั้งฤดูกาลนี้

สามผู้บัญชาแดนกลางแห่งฤดูกาล 2018/2019

เป็นที่รู้กันว่า ผู้เล่นในตำแหน่งกองกลางถือเป็นตำแหน่งสำคัญในสนามที่อาจเป็นตัวชี้วัดในศึกการแข่งขันที่ดุเดือด เนื่องจากเป็นจุดศูนย์กลางยุทธศาสตร์ในสนามรบที่จะช่วยเติมเต็มศักยภาพในการเล่นเกมรุกและเกมรับของทีม  เปรียบเสมือนฐานบัญชาการกองทัพที่จะคอยวางแผนส่งกำลังพลไปช่วยเหลือทัพในแดนหน้าหรือแดนหลัง เพื่อเติมเต็มประสิทธิภาพและให้เกิดเสถียรภาพความมั่นคงเพื่อกำชัยชนะในภายหลัง

ในขณะที่การแข่งขันฟุตบอลทั่วทั้งทวีปยุโรปในฤดูกาล 2018/2019 ได้ขับเคลื่อนมาจนถึงช่วงโค้งสุดท้ายของเกมการแข่งขัน สโมสรในแต่ละประเทศต่างกำลังมุ่งมั่นในการทำผลงานให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วมีนักฟุตบอลในแดนกลางคนไหนบ้าง ที่กำลังทำผลงานได้อย่างร้อนแรงมากที่สุดตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา และพาสโมสรเก็บผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอยู่ในขณะนี้

ดาบิด ซิลบา กองกลางชาวสเปนของสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถือเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่กำลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ภายใต้การฝึกสอนของผู้จัดการทีมอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โดยจุดเด่นของ ดาบิด ซิลบา อยู่ที่การสร้างสรรค์โอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม จากสถิติจะพบว่า ซิลบา มีสถิติการผ่านบอลสร้างสรรค์โอกาส 2.3 ครั้งต่อเกม และมีส่วนร่วมกับประตูทุกๆ
 166 นาทีที่ลงสนาม เรียกได้ว่าในยามที่ เควิน เดอ บรอยน์ มิดฟิลด์ตัวสร้างสรรค์เกมของทีมได้รับบาดเจ็บหรือโชว์ฟอร์มไม่ออกในฤดูกาลนี้ ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อรูปเกมมากนัก ตราบใดที่กองกลางรายนี้ได้บัญชาการเกมรุกอยู่ในสนาม

ปอล ป็อกบา กองกลางชาวฝรั่งเศส ดีกรีเจ้าของแชมป์โลกสมัยล่าสุดจากสโมสรปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ภายหลังการได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งกับผู้ที่ปลุกปั้นเขามาในวัยเยาว์อย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา นั้น ทำให้ ป็อกบา ถือว่าเป็นมิดฟิลด์ที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดในยุโรปถ้านับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูทุกๆ
118 นาที คิดเป็นค่าเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 0.76 ประตูต่อเกม ในขณะเดียวกันมีโอกาสการยิงประตูอยู่ที่ 3.2 ครั้งต่อเกม รวมถึงมีสถิติชนะการดวลกลางอากาศและสามารถเรียกฟาวล์สำเร็จต่อเกมอยู่ 1.7 ครั้ง และ 2 ครั้งตามลำดับ

และในรายสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ ติอาโก้ อัลคันทาร่า กองกลางชาวสเปนที่สังกัดสโมสร บาเยิร์น มิวนิค ที่ถือได้ว่าเป็นนักเตะในตำแหน่งมิดฟิลด์ที่มีความสามารถครบเครื่องที่สุดคนหนึ่งของยุโรป การันตีด้วยสถิติการผ่านบอลสำเร็จคิดเป็นเปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 92.3 เปอร์เซ็นต์ สกัดคู่แข่งสำเร็จเฉลี่ย 3 ครั้งต่อเกม แย่งบอลจากเท้าคู่แข่งสำเร็จต่อเกมอยู่ที่ 1.3 ครั้ง รวมถึงมีสถิติการเลี้ยงผ่านคู่แข่งและสถิติการจ่ายบอลยาวสูงถึง 1.9 และ 7.4 ครั้งตามลำดับ โดยหากนับเฉพาะมิดฟิลด์ที่คอยทำเกมจากแดนหลังนั้น ติอาโก้ อัลคันทาร่า ถือเป็นนักเตะที่ทำสถิติได้ดีที่สุดในทวีปยุโรปตลอดฤดูกาลนี้