Category: นักฟุตบอล (page 1 of 1)

จากผู้ลี้ภัยสู่นักฟุตบอลทีมชาติ

ถึงแม้เดนมาร์คจะไม่สามารถผ่านเข้ารอบฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลกล่าสุด แต่มีนักฟุตบอลหญิงที่น่าสนใจคนหนึ่ง เธอไม่ได้มีเชื้อสายเดนนิสโดยกำเนิด เพราะพ่อและแม่ของเธอไม่ได้เป็นชาวเดนมาร์ค แล้วเธอได้มาเป็นส่วนหนึ่งของนักฟุตบอลทีมชาติเดนมาร์คได้อย่างไร เรื่องราวของ นาเดีย นาดิม เหมือนปฏิหาริย์ ที่ไม่อาจเป็นได้ในชีวิตจริง แต่ชีวิตจริงที่เป็นเหมือนฝันก็เกิดขึ้นกับเธออย่างที่เธอเองก็ไม่ได้คาดคิด ความเป็นมาของเธอจะเป็นอย่างไร บรรทัดต่อไปมีคำตอบ

                 แม้ชีวิตของ นาเดีย นาดิม และครอบครัวจะอยู่อย่างยากลำบากในอัฟกานิสถานในสถานะผู้ลี้ภัย ภายหลังจากพ่อของเธอ ซึ่งเป็นอดีตนายพลของกองทัพอัฟกานิสถานถูกกลุ่มตาลีบันจับตัวไป สถานการณ์กลับเลวร้ายขึ้นเมื่อข่าวว่าพ่อของเธอได้ถูกฆ่าตายหลังจากหายตัวไปนานกว่าครึ่งปี หลังจากขาดพ่อซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว แม่ของเธอพร้อมกับลูกสาวอีก 5 คนจึงตัดสินใจหนีออกนอกประเทศเพราะถ้าอยู่ต่อคงไม่มีอะไรดีขึ้น

ครอบครัวของ นาเดีย นาดิม ได้หนีไปยังพรมแดนระหว่างอัฟกานิสถานกับปากีสถาน ก่อนใช้หนังสือเดินทางปลอม เพื่อไปยังประเทศอิตาลี แล้วเดินทางต่อไปยังประเทศอังกฤษซึ่งมีญาติอยู่ที่นั่น แต่แล้วเหตุการณ์กลับพลิกผันอีกครั้ง เมื่อรถบัสที่นำ นาเดีย นาดิมและครอบครัวกลับส่งเธอลงในย่านชนบทของเดนมาร์ค นับว่าโชคชะตายังมี เพราะครอบครัวของนาเดีย นาดิม ได้ขอเป็นผู้ลี้ภัยและได้เข้าไปอยู่ในค่ายอพยพของเดนมาร์ค

หลังจากนั้นเธอได้เรียนหนังสือจนจบปริญญา และกำลังได้เป็นนักเรียนแพทย์ เธอก็ใช้เวลาว่างจากการเรียน ฝึกซ้อมฟุตบอลไปด้วย เธอมีพื้นฐานในการเล่นฟุตบอลมาบ้าง จากการฝึกสอนของพ่อในช่วงวัยเด็กเมื่อครั้งที่เธอยังอยู่ในบ้านเกิด ด้วยพรสวรรค์ในการเล่นฟุตบอลที่ติดตัวมา และพรแสวงจากการฝึกฝน เธอก็ได้ก้าวเข้ามาเป็นนักฟุตบอลอาชีพพร้อมทั้งติดทีมชาติเดนมาร์คในเวลาต่อมา หลังจากครอบครัวและ นาเดีย นาดิม ได้เป็นพลเมืองของเดนมาร์คอย่างเต็มตัวแล้ว

                 คำว่า นักฟุตบอลทีมชาติช่างห่างไกลจากโลกความเป็นจริงนัก ถ้าเธอยังเป็นผู้ลี้ภัยอยู่ในอัฟกานิสถานเหมือนเดิม แต่โชคก็ยังเข้าข้างเธอ ชีวิตที่เลวร้ายก็กลับกลายจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งนี้แม่ของเธอเองก็มีส่วนในการพาครอบครัวขึ้นมาจากหลุมอย่างที่หลายครอบครัวในอัฟกานิสถานประสบพบเจอ เธอและครอบครัวหนีจากความยากลำบากที่ไม่อาจทนกับสภาพเหล่านั้นได้ ความเลวร้ายต่าง ๆ เริ่มเพิ่มขึ้นจากการจับตัวของพ่อ และข่าวของพ่อที่เสียชีวิตลง และแน่นอนนั่นคือฝันร้ายที่สุดในชีวิตของนาเดีย นาดิม ถ้าเธอยังอยู่ที่อัฟกานิสานตามเดิม เธอก็เป็นได้แค่ผู้ลี้ภัยที่ไร้อนาคต เพราะผู้หญิงในประเทศนี้ไม่ได้รับโอกาสมากนัก เธอคงไม่มีสิทธิ์เลือกอนาคตของเธอได้เอง นาเดีย นาดิม เดินออกมาจากฝันร้ายและกลายมาเป็นคนกำหนดอนาคตด้วยตัวเธอเอง

“ณัฐพงษ์ ขจรมาลี” ผู้รักษาประตูหัวใจแกร่ง ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อทุกอุปสรรค

คงไม่มีใครคาดคิดว่าทีมรองบ่อนอย่าง พีที ประจวบ เอฟซี จะเอาชนะทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไปได้ในการแข่งขันโตโยต้า ลีก คัพ รอบชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์รายการแรกในประวัติศาสตร์สโมสรได้สำเร็จ นอกจาก “โค้ชวัง” ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล จะได้รับการยกย่องในการสร้างปาฏิหาริย์ให้กับทีมต่อพิฆาตครั้งนี้แล้ว “ณัฐพงษ์ ขจรมาลี” ผู้รักษาประตูของทีมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกพูดถึงในเรื่องของหัวใจนักต่อสู้ที่มีอยู่เต็มเปี่ยม เมื่อสามารถฟื้นตัวกลับมาจากอุบัติเหตุครั้งใหญ่ในชีวิตจนสามารถช่วยต้นสังกัดคว้าแชมป์ได้สำเร็จ

                ณัฐพงษ์ ขจรมาลี เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับจามจุรี ยูไนเต็ด ทีมลีกดิวิชั่น 2 ในตำแหน่งผู้รักษาประตู ก่อนจะย้ายสู่ทีมชัยนาท ฮอร์นบิล และลงเล่นในลีกสูงสุดของประเทศในปี พ.ศ. 2559 ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่และฟอร์มการเล่นที่ดี ทำให้เขาถูกคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้รักษาประตูทีมชาติในอนาคตอันใกล้ แต่แล้วในวันที่ 30 เมษายน 2560 ณัฐพงษ์ได้ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ประสานงานกับรถบรรทุก 6 ล้ออย่างจังระหว่างขับรถกลับจากการลงแข่งขันช่วยต้นสังกัด ทำให้กะโหลกศีรษะแตก แขนขวาหัก และเอ็นข้อศอกขวาฉีกขาด จนต้องทำการใส่น็อตยึดกะโหลกศีรษะและใส่กระดูกเทียมในร่างกาย แม้จะรอดชีวิตจากอุบัติเหตุแต่ก็ต้องทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจจากการรักษาและพักฟื้นตัว

                จากอุบัติเหตุครั้งนั้น ณัฐพงษ์ได้รับความช่วยเหลือจากนักฟุตบอลระดับโลกถึง 3 คน คือ ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมย็อง, โอลิวิเยร์ ชิรูด์ และเคิร์ต ซูม่า จัดการประมูลเสื้อแข่งของพวกเขาเพื่อหาเงินสมทบทุนสำหรับการรักษาตัวผ่านการติดต่อจากเพื่อนร่วมทีมอย่างฟลอรองต์ ชินามา ปงโกลล์ นอกจากนั้นยังมีนักฟุตบอลชาวไทยหลายคนร่วมช่วยเหลือในครั้งนี้ด้วย

                ภายหลังจากประสบอุบัติเหตุ 6 เดือน ผู้รักษาประตูหนุ่มก็เริ่มทำการกายภาพด้วยความหวังว่าจะกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้ง แม้หลายคนจะมองว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน เพราะกะโหลกศีรษะเต็มไปด้วยน็อตที่ถูกยึดเอาไว้ แถมแขนขวายังต้องใช้กระดูกเทียมมาต่อเป็นแขนอีก แถมคุณหมอที่ดูแลยังไม่แนะนำให้กลับมาเล่นฟุตบอลอีก เพราะมีความเสี่ยงต่อร่างกายมาก

แม้จะหมดสัญญากับต้นสังกัดเดิม ณัฐพงษ์ก็ยังมุ่งมั่นฟิตร่างกายจนพร้อมกลับมาลงสนามอีกครั้ง บวกกับตำแหน่งผู้รักษาประตูที่ไม่ต้องใช้ร่างกายมาก แต่กลับไม่มีทีมใดคว้าตัวเขาไปร่วมทีม นอกจากสโมสรมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ ทีมในระดับ T4 แม้จะต้องลดค่าเหนื่อยลง แต่เขาก็ยินดีแลกด้วยโอกาสในการลงสนามอีกครั้ง หลังจากร้างสนามไปกว่า 1 ปี แล้วความพยายามก็ออกผลสำเร็จเมื่อสโมสรพีที ประจวบ เอฟซี คว้าตัวเขากลับสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง โดยนัดแรกที่ลงเฝ้าเสาเขาช่วยต้นสังกัดใหม่บุกไปเอาชนะเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ดได้ถึงถิ่น ซึ่งเขามีส่วนสำคัญในการช่วยทีมเก็บคลีนชีตไว้ได้

จนกระทั้งในศึกโตโยต้า ลีก คัพ 2019 รอบชิงชนะเลิศ ณัฐพงษ์ช่วยให้ทีมต่อพิฆาตรอดพ้นจากการเสียประตูหลายต่อหลายครั้งจนหมดเวลาการแข่งขัน 120 นาทีด้วยผลเสมอ 1-1 ต้องทำการตัดสินด้วยการยิงลูกจุดโทษ ก่อนจะเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 8-7 คว้าแชมป์ไปครองอย่างยิ่งใหญ่ และมีนักพนันจำนวนมากที่รับเงินก้อนโตในแมตท์นี้ไปจาก VWIN

ณัฐพงษ์เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ของคนที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจนสามารถก้าวผ่านความยากลำบากไปสู่ความสำเร็จได้ แม้บาดแผลในร่างกายจะทิ้งร่องรอยแห่งความเจ็บปวดเอาไว้ แต่ด้วยจิตใจที่ไม่ยอมแพ้จะพาชีวิตไปสู่ความสุขได้อย่างแน่นอน

พัฒนาการของชายที่ชื่อ ปอล ป็อกบา

หากนับจากปฏิทินปี 2019 ปอล ป็อกบา ดาวเตะชาวฝรั่งเศส กองกลางของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือเป็นหนึ่งใน
นักเตะที่มีฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งของยุโรป ซึ่งช่างแตกต่างราวฟ้ากับดินเมื่อเทียบกับฟอร์มการเล่นก่อนหน้า ที่ในขณะนั้นยังโดนกระแสแฟนบอลโจมตีทางจากทั่วทุกสารทิศ จนถึงขนาดเรียกร้องให้สโมสรปล่อยตัวดาวเตะรายนี้ออกจากทีมโดยเร็วที่สุด

                ด้วยสไตล์การเล่นที่ไม่ค่อยช่วยเหลือทีมในเรื่องของเกมรับ และการแสดงออกที่ดูไม่มีความทุ่มเทและมุ่งมั่นมากเท่าที่ควร  รวมถึงสิ่งที่สื่อหลายสำนักได้เปิดเผยว่า เจ้าตัวทำตัวมีปัญหากับผู้จัดการทีม จนถึงขั้นเคยมีคลิปหลุดออกมาให้เหล่าแฟนบอลได้เห็น ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่มีกระแสดังกล่าวเกิดขึ้น

                แต่ภายหลังเมื่อสงครามภายในจบลง และเป็นฝ่ายผู้จัดการทีมอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือชาวโปรตุเกส ที่เป็นผู้พ่ายแพ้ไป ปอล ป็อกบา ก็ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั้งในและนอกสนามไปเป็นคนละคน เมื่อสโมสรได้ประกาศแต่งตั้ง
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ตำนานกองหน้าของสโมสร ผู้เป็นโค้ชฝึกสอนให้กับ ป็อกบา ในอดีตเมื่อสมัยอยู่ในทีมเยาวชน เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีม

                ซึ่งพอได้กลับมาร่วมงานกลับกุนซือที่รู้ใจ ก็ส่งผลให้ ปอล ป็อกบา กลับมามีผลงานการเล่นที่โดดเด่น มีความทุ่มเทและมุ่งมั่นให้กับสโมสร จนกลายเป็นศูนย์กลางการสร้างทีมของผู้จัดการทีมคนใหม่ทันที กลบกระแสแฟนบอลและนักวิเคราะห์ที่คอยวิจารณ์ผลงานและการแสดงออกของเจ้าตัวได้อย่างสิ้นเชิง

                จากสถิติการเล่นของเจ้าตัวในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก ป็อกบา มีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูเฉลี่ยอยู่ที่ 0.45 ประตูต่อเกม โดยมีโอกาสยิงต่อเกมเฉลี่ย 2.93 ครั้ง จ่ายสร้างสรรค์โอกาส 1.63 ครั้ง และสกัดบอลคู่แข่งสำเร็จเฉลี่ย 1.07 ครั้งต่อเกม แต่พอภายหลังการเข้ามาคุมทีมของโซลชา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เหมือนได้นักเตะใหม่เข้ามาด้วย เมื่อปอล ป็อกบา ได้สร้างผลงานอย่างเหลือเชื่อ โดยมีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูในทุกๆ 78 นาที คิดเป็นค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.15 ประตูต่อเกม มีโอกาสยิงต่อเกมสูงถึง 3.56 ครั้ง ผ่านบอลสร้างสรรค์โอกาส 1.86 ครั้ง และสกัดบอลคู่แข่งสำเร็จ 1.86 ครั้งต่อเกม เรียกได้ว่าภายหลังการเข้ามาของผู้จัดการทีมคู่ใจ ป็อกบา ได้กลายเป็นหนึ่งในกองกลางที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดในยุโรปทันที

                โดยจากผลงานการเล่นที่โดดเด่นขนาดนี้ ทำให้ดาวเตะชาวฝรั่งเศส ตกเป็นเป้าหมายการเสริมทัพของเหล่าทีมชั้นนำทั่วยุโรปไม่ว่าจะเป็นการแย่งตัวกันระหว่างสโมสรคู่แค้นอย่าง บาร์เซโลน่า กับ เรอัล มาดริด ภายใต้กุนซือคนใหม่หน้าเดิมที่เป็นคนบ้านเดียวกันอย่าง ซีเนดีน ซีดาน หรือแม้กระทั่งทีมเก่าอย่าง ยูเวนตุส ก็ยังต้องการตัวกลับไปร่วมทีม

                ตอนนี้สถานการณ์ได้กลับกันเป็นที่เรียบร้อย จากที่กองกลางตัวตัดผมรายนี้เคยไม่เป็นที่ต้องการของเหล่าแฟนบอล ยูไนเต็ด กลับกลายเป็นว่า บรรดาแฟนบอลของสโมสรได้แต่ภาวนาให้ ปอล ป็อกบา ไม่ขอย้ายทีมและฝากอนาคตกับสโมสรในระยะยาว เพื่อพาสโมสรกลับไปอยู่ในจุดที่เคยยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

เหตุใดบาเยิร์นจึงทุ่มซื้อ ลูคัส เอร์นาเดซ

นี่ถือเป็นสัญญาณบอกเหตุอีกครั้ง ที่ยืนยันได้ว่าทางสโมสร บาเยิร์น มิวนิค กำลังวางแผนตั้งใจเปลี่ยนถ่ายนักเตะสายเลือดใหม่เข้ามาสู่สโมสร ภายหลังพึ่งประกาศคว้าตัวแนวรับดาวรุ่งดีกรีแชมป์โลกชาวฝรั่งเศสอย่าง เบนฌาแมง ปาวาร์ จากสโมสร สตุ๊ตการ์ท และกำลังมีข่าวอย่างหนักกับดาวรุ่งชาวอังกฤษอย่าง คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ปีกทีมชาติอังกฤษดีกรีแชมป์โลกชุด ยู-17 จากสโมสรเชลซี และในรายล่าสุดเจ้าของค่าตัวกองหลังสถิติโลกอันดับที่สองอย่าง ลูคัส เอร์นานเดซ

จากการที่เจ้าตัวได้รับความสนใจจากบรรดาทีมชั้นนำของยุโรปมาโดยตลอด สุดท้ายเป้าหมายต่อไปของดาวรุ่งรายนี้ก็เป็นที่แน่ชัดเสียที เมื่อทางสโมสร บาเยิร์น มิวนิค ประกาศคว้าตัว ลูคัส เอร์นานเดซ กองหลังดาวรุ่งจากสโมสร
แอตเลติโก มาดริด ด้วยมูลค่าสูงถึง 80 ล้านยูโร และถือเป็นการทำลายสถิติใหม่ของสโมสร ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าแปลกมากเพราะโดยปกติแล้ว บาเยิร์น มิวนิค ถือเป็นหนึ่งในสโมสรยักษ์ใหญ่ที่มักจะไม่ค่อยทุ่มเงินกับการซื้อนักเตะเพียงรายเดียว แล้วเหตุใด นักเตะรายนี้จึงเป็นข้อยกเว้น

                ลูคัส เอร์นานเดซ  กองหลังดาวรุ่งชาวฝรั่งเศส ที่การันตีความสามารถด้วยการเป็นหนึ่งในขุนพลที่พาทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์โลกสมัยล่าสุดมาครองได้สำเร็จ โดยตำแหน่งหลักที่เจ้าตัวเล่นให้กับทางสโมสรและทีมชาติคือ ตำแหน่งแบ็คซ้าย แต่หากถึงคราวที่จำเป็น ก็สามารถที่จะหุบมาเล่นในตำแหน่งปราการหลังตัวกลาง และยังทำผลงานได้อย่างโดดเด่นเช่นเดียวกัน

                 “เขาเป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังสามารถเล่นได้ทั้งแบ็คฝั่งซ้ายและเซนเตอร์แบ็ก ซึ่งการมาของ ลูคัส จะทำให้สโมสรของเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น” นี่คือคำกล่าวของ ฮาซาน ซาลิฮามิดซิช ผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร
บาเยิร์น มิวนิค ที่ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประกาศคว้าตัวกองหลังรายนี้

                ไม่ใช่แค่ตำแหน่งการเล่นในแผงกองหลังที่หลากหลาย แต่จุดเด่นที่แท้จริงของดาวเตะชาวฝรั่งเศสรายนี้คือ การเล่นเกมรับที่เหนียวแน่นและมีประสิทธิภาพ โดยตลอดการลงเล่นในฤดูกาลนี้ ลูคัส เอร์นานเดซ มีสถิติในการเคลียร์บอลอันตรายเฉลี่ยสูงถึง 3.4 ครั้งต่อเกม เข้าสกัดคู่แข่งสำเร็จเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 2.5 ครั้ง และยังมีความสามารถในการดวลชนะลูกกลางอากาศเฉลี่ย 1.6 ครั้งต่อเกม เรียกได้ว่าหากทีมคู่แข่งต้องการเจาะเกมรุกทางฝั่งของเขา คงเป็นเรื่องยากที่จะผ่านเจ้าตัวไปได้ และด้วยอายุที่อยู่ในวัยเพียง 23 ปี ทำให้ดาวรุ่งรายนี้ถูกจับตามองในฐานะกองหลังที่อาจก้าวขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆของโลกได้ในอนาคต

                จากความสามารถที่กล่าวมา จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดที่ทาง บาเยิร์น ตัดสินใจคว้าตัวกองหลังรายนี้ด้วย
มูลค่าที่เป็นสถิติสโมสร ตอนนี้ก็ได้แต่รอเวลาที่เจ้าตัวจะมาโชว์ศักยภาพให้เหล่าแฟนบอลได้เห็นว่าเหมาะสมกับเงินที่ลงทุนไปหรือไม่ เพระท้ายที่สุดแล้วเราต้องไม่ลืมว่า “สถิติในอดีต ไม่ได้เป็นตัวยืนยันความสามารถในอนาคต”

ควรต่อสัญญาหรือไม่กับชายที่ชื่อ อันเดร์ เอร์เรร่า

อันเดร์ เอร์เรร่า กองกลางชาวสเปนจากสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีแฟนบอลสโมสรชื่นชอบมากที่สุด ด้วยบุคลิกความทุ่มเทในสนามที่มักจะวิ่งเหมือนมีถังเก็บพลังงานสำรอง และความรักที่มีต่อสโมสร จึงไม่น่าแปลกใจที่ เอร์เรร่า จะเป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่ได้รับการโหวตจากแฟนบอลให้เป็นว่าที่กัปตันทีมปีศาจแดง
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในอนาคต

                แต่ในปัจจุบัน สัญญาของ เอร์เรร่า กับทางสโมสรกลับไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ทั้งที่สื่ออังกฤษต่างลงข่าวอยู่เสมอว่า สโมสรได้เปิดเจรจาต่อสัญญากับเจ้าตัวเป็นที่เรียบร้อย แต่ท้ายที่สุดแล้ว เห็นจะมีก็แต่สื่อมวลชนที่เล่นประเด็นนี้กันอย่างสนุกสนาน เพราะเจ้าตัวได้ออกมายืนยันเป็นที่เรียบร้อยว่า ยังไม่ได้เจรจาเซ็นสัญญาใหม่กับทางต้นสังกัด

                ท่ามกลางกระแสข่าวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ล่าสุดเจ้าตัวได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อในประเด็นดังกล่าวว่า “ถือเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่คุณเหลือสัญญากับทางสโมสรอีกเพียงแค่ 3 เดือน เพียงแต่ในตอนนี้ผมสนใจแค่ผลงานในสนามตลอดฤดูกาลที่เหลือ ส่วนเรื่องอื่นผมปล่อยให้เอเยนต์เป็นคนจัดการ ทั้งการเจรจาสัญญากับทางสโมสร และโอกาสความเป็นไปได้ในการย้ายทีม”

                กลายเป็นว่าเหมือนหนังคนละม้วน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา อันเดร์ เอร์เรร่า มักให้สัมภาษณ์กับสื่อในทิศทางที่ว่า พร้อมที่จะค้าแข้งกับสโมสรไปอีกนาน แต่ในตอนนี้สถานการณ์กลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แล้วถ้าดาวเตะชาวสเปนรายนี้ตัดสินใจย้ายออกจากสโมสร จะมีผลกระทบอะไรเกิดขึ้นต่อทีมบ้าง

                จากสถิติในการเล่นตลอดฤดูกาล 2018/2019 พบว่า เอร์เรร่า ถือเป็นนักเตะที่เข้าสกัดคู่แข่งสำเร็จมากกว่าทุกๆคนในทีม โดยเข้าสกัดคู่แข่งเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 2.4 ครั้ง เหนือกว่า เนมานย่า มาติช หรือแม้กระทั่งผู้เล่นในตำแหน่งกองหลังอย่าง
วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่มีสถิติการเข้าสกัดเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 1.9 และ 1.3 ครั้งตามลำดับ นอกเหนือจากการเข้าสกัดแล้ว เอร์เรร่า ยังมีความสามารถในการแย่งบอลจากคู่แข่งสูงที่สุดในทีมอีกด้วย โดยมีสถิติการแย่งบอลจากเท้าคู่แข่งสำเร็จอยู่ที่ 1.9 ครั้งต่อเกม

                ยิ่งไปกว่านั้น หากมองที่วิธีการเล่นของเจ้าตัว ที่มักจะคอยวิ่งช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมให้สามารถจ่ายบอลหนีตัวประกบได้ง่าย และถ่ายเทบอลได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ทีมเสียการครองบอลยากกว่าเดิมเวลาที่นักเตะรายนี้อยู่ในสนาม และการเล่นบอลที่ชาญฉลาดนี้เอง ที่ทำให้ได้รับคำชื่นชมอย่างมากจาก โชเซ่ มูรินโญ่  อดีตผู้จัดการทีมของสโมสร โดยเหตุการณ์ที่ทำให้ มูรินโญ่ ยกย่อง เอร์เรร่า เป็นอย่างมาก คือเหตุการณ์ที่ มิดฟิลด์รายนี้เคยขัดคำสั่งที่เขาต้องการให้เจ้าตัวเข้าไปยืนในกรอบเขตโทษ แต่เขาเห็นเพื่อนร่วมทีมมีความสามารถในการทำประตูมากกว่า จึงได้สั่งให้เพื่อนร่วมทีมสลับตำแหน่งกับตัวเอง และนี่คือที่มาของประตูชัยที่ส่งผลให้ทีมเอาชนะ อาแจ็กซ์ และคว้าแชมป์ ยูโรปา ลีก มาครองได้ในที่สุด

                เพราะฉะนั้นแล้ว หากทาง ยูไนเต็ด ไม่สามารถที่จะเจรจาต่อสัญญาใหม่กับดาวเตะชาวสเปนรายนี้ได้ คงเป็นเรื่องน่าเสียดายและคงสร้างผลกระทบอย่างมากต่อทีมแน่นอน เพราะถึงแม้ในโลกฟุตบอลจะมีกองกลางที่มีทักษะมากมายเพียงใด แต่คงจะหาได้ยากกับชายที่รักและทุ่มเททุกอย่างให้กับสโมสรโดยไม่สนชื่อเสียงส่วนตัว ชายที่เล่นฟุตบอลได้อย่างชาญฉลาด ชายที่ชื่อ อันเดร์ เอร์เรร่า

คริสเตียน พูลิซิช เด็กน้อยผู้เทใจให้ทีมนอกลีก

กลายเป็นข่าวฮือฮาว่าคริสเตียน พูลิซิชตัดสินใจย้ายมาร่วมทีมเชลซีในฤดูกาลหน้าเรียบร้อย แต่นี่ไม่ใช่เรื่องราวฟุตบอลในแผ่นดินผู้ดีหนแรกของหนุ่มน้อยสัญชาติอเมริกัน เพราะเขามีความผูกพันกับการเตะลูกหนังที่แบร็กเล่ย์ ทาวน์มาก่อน

พูลิซิซ กองหน้าดาวรุ่งสัญชาติอเมริกันมาทำอะไรที่อังกฤษ?

เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนไปว่าเขาเกิดที่เพ็นซิลวาเนียในสหรัฐอเมริกา ในครอบครัวที่มี แต่พออายุได้เจ็ดขวบ เคลลี่ ผู้เป็นแม่ได้รับทุนแลกเปลี่ยนให้มาเรียนและทำงานที่อังกฤษ​ พวกเขาทั้งครอบครัวตัดสินใจย้ายมาอยู่อังกฤษ และพูลิซิชน้อยก็ได้หัดเล่นฟุตบอลครั้งแรกที่สโมสรแบร็กเล่ย์ ทาวน์ ทีมท้องถิ่นในน็อธแธมตันเชียร์ตั้งแต่ตอนนั้น

โค้ชโรบิน วอล์กเกอร์ ผู้ดูแลทีมในช่วงดังกล่าวกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกับครอบครัวพูลิซิชจนถึงปัจจุบัน เขาพาคริสเตียนไปเล่นทัวร์นาเม้นท์ต่าง ๆ และทำให้เจ้าหนูตกหลุมรักฟุตบอลหัวปักหัวปำ ไม่ว่าจะวันเรียนหรือวันหยุด คริสเตียน พูลิซิชจะหิ้วลูกบอลวิ่งออกไปยังสนามเด็กเล่นและเตะบอลกับเด็กทุกรุ่นอายุ ตอนนั้นครอบครัวพูลิซิชได้พาเขาไปดูสโมสรต่าง ๆ ทั้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ และสโมสรในระดับล่างอีกหลายสโมสร แต่พูลิซิชไม่ชอบทีมไหนเลยเพราะตอนนั้นทีมอันดับหนึ่งในดวงใจของเขาหนีไม่พ้นแบร็กเล่ย์ เอฟซี ทีมท้องถิ่นประจำเมืองที่อยู่ในดิวิชั่น 10 ของฟุตบอลอังกฤษ พูลิซิชอยู่กับทีมเยาวชนของสโมสรจนกระทั่งเขาเดินทางกลับอเมริกา ในปี 20

มาร์ก พูลิซิช อดีตผู้เล่นมหาวิทยาลัยได้งานผู้จักการทีมฟุตบอลในร่มที่มิชิแกน ครอบครัวพูลิซิชย้ายมายังมิชิแกน และพูลิซิชก็ได้เล่นให้ทีมมิชิแกน รัช ก่อนจะกลายเป็นนักเตะของศูนย์พัฒนาฝีเท้าที่ดูแลโดยสมาคมฟุตบอลของอเมริกา ซึ่งตอนนี้เองที่ความสามารถของพูลิซิชเริ่มถูกกล่าวถึงและไปเข้าตาแมวมองของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

ดอร์ทมุนด์ไปค้นหาจนพบว่าคุณปู่ของพูลิซิชเป็นชาวโครเอเชีย ทำให้เขาเข้าเงื่อนไขที่จะไม่ต้องขอวีซ่าทำงาน เมื่อรู้แบบนี้สโมสรเมืองเบียร์ก็บุกถึงบ้านเพื่อยื่นข้อเสนอให้คริสเตียน พูลิซิชเข้าสู่อะคาเดมี่ของทีมเสือเหลือง และยินดีรับมาร์กเข้าเป็นสต๊าฟโค้ชของรุ่นต่ำกว่า 10 ปีให้สโมสรด้วย นั่นทำให้ครอบครัวพูลิซิชย้ายบ้านอีกครั้งจากอเมริกากลับสู่ยุโรป พูลิซิชเข้าร่วมอะคาเดมี่รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี และอย่างที่รู้กันเขากลายเป็นผู้เล่นทีมชุดใหญ่ของเสือเหลืองด้วยวัยเพียง 17 ปี ในเดือนมกราคม 2016 เขาก็ได้ลงเล่นเกมแรกให้ดอร์ทมุนด์ หลังจากที่โธมัส ทูเคิ่ล ผู้จัดการทีมไว้ใจในฝีเท้าของเขาว่าสูงพอ

สองเดือนต่อมาหลังจากลงเล่นนัดแรกในบุนเดสลีก้ากับอิงโกลสตัด เจอร์เก้น คลิ้นสมันน์ เฮดโค้ชทีมชาติสหรัฐก็เรียกตัวพูลิซิชขึ้นสู่ทำเนียบทีมชาติด้วยการลงเล่นเวิร์ลด์ คัพรอบคัดเลือกกับกัวเตมาลา

ชีวิตของพูลิซิชในเกมลูกหนังพาเขาไปไกลมาก ก่อนที่เชลซีจะตัดสินใจทุ่มซื้อเขามาร่วมทีมในฤดูกาลหน้าด้วยค่าตัว 58 ล้านปอนด์ ทำให้พูลิซิชจะได้กลับมายังจุดเริ่มต้นของตัวเองอีกครั้ง บางทีวันว่าง ๆ เขาอาจจะเลือกไปเยือนถิ่นเก่าที่แบร็กเล่ย์ ทาวน์และเตะบอลในสนามเด็กเล่นอีกสักทีก็เป็นได้