Category: ฟุตบอลต่างประเทศ (page 1 of 1)

จาก “ป็อกบาโมเดล” ถึง “ซานโชโมเดล” เส้นทางดาวรุ่งสู่การเป็นนักเตะซูเปอร์สตาร์

พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ได้ชื่อว่าเป็นลีกอันดับ 1 ของโลก เนื่องจากมีทีมใหญ่อยู่หลายทีม ไม่ได้มีแค่หนึ่งหรือสองทีมที่ผูกขาดแชมป์ แถมบรรดาทีมขนาดกลางและขนาดเล็กยังสามารถสู้กับทีมใหญ่ได้อย่างสูสี จึงทำให้เกมการแข่งขันทุกนัดเต็มไปด้วยความตื้นเต้นเร้าใจ ทั้งนี้เนื่องจากแต่ละทีมเต็มไปด้วยนักเตะฝีเท้าเยี่ยม แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักเตะที่ถูกซื้อตัวเข้ามาทั้งสิ้น นักเตะที่สโมสรปั้นขึ้นมาเองมีเพียงหยิบมือ ซึ่งมีผลการวิจัยรายงานว่า จากนักเตะดาวรุ่ง 1.5 ล้านคนในอังกฤษ มีเพียง 180 คนเท่านั้นที่สามารถแจ้งเกิดแล้วค้าแข้งอยู่ในเวทีพรีเมียร์ลีกได้ ซึ่งคิดเป็น 0.012% เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมใหญ่ที่ต้องการประสบความสำเร็จในทุกฤดูกาล ทำให้ไม่สามารถลองผิดลองถูกกับนักเตะดาวรุ่งได้ เด็กฝึกมากมายจึงมักถูกส่งไปให้สโมสรขนาดเล็กยืมตัวก่อนจะลงเอยด้วยการปล่อยออกจากทีมไปในที่สุด เมื่อตกอยู่ในความกังวลเช่นนั้น นักเตะดาวรุ่งที่มั่นใจในฝีเท้าของตัวเองจึงเลือกตัดสินใจเดินจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อย้ายไปอยู่กับสโมสรชั้นนำที่พร้อมให้โอกาสลงสนามทันที อีกทั้งยังได้เล่นร่วมกับนักเตะเก่ง ๆ ที่จะช่วยยกระดับฝีเท้าของตัวเอง ดังเช่นในกรณีของ พอล ป็อกบา และ จาดอน ซานโช

ป็อกบาโมเดล

เมื่อปี 2009 พอล ป็อกบาในวัย 16 ปีตัดสินใจย้ายจากฝรั่งเศสมาร่วมทีมอคาเดมี่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบที่สร้างความงุนงงให้แฟน ๆ กีฬาของ VWIN เลยทีเดียวว่าทีมกำลังคิดอะไร 2 ปีถัดมาเขาก็พาปีศาจแดงคว้าแชมป์เอฟเอยูธคัพ จนสตาฟฟ์โค้ชเยาวชนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาพร้อมแล้วสำหรับทีมชุดใหญ่ ในฤดูกาล 2011-12 เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จึงเลือกเก็บกองกลางดาวรุ่งวัย 18 ปีไว้กับสโมสรมากกว่าปล่อยยืมตัว แต่แทนที่จะส่งลงสนามกุนซือชาวสก็อตกลับเก็บเขาไว้บนซุ้มม้านั่งสำรองเป็นส่วนใหญ่ โดยป็อกบาถูกเปลี่ยนตัวลงสนามไปเพียง 7 เกม มีเวลาอยู่ในสนามแค่ 225 นาที แม้แต่ช่วงที่นักเตะกองกลางคนอื่นพาเหรดกันเจ็บ ท่านเซอร์ก็ยังเลือกใช้นักเตะจากตำแหน่งอื่นลงเล่นแทน แถมยังไปดึง พอล สโคลส์ กลับมาจากการแขวนสตั๊ด ยิ่งเป็นการตัดโอกาสลงสนามของเขาเข้าไปอีก

ป็อกบามั่นใจว่าด้วยความสามารถที่มี เขาควรจะได้โอกาสลงสนามมากกว่านี้ แต่เมื่อไม่ได้รับความไว้วางใจจากเจ้านาย ความคิดเรื่องการย้ายทีมจึงเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ได้ มิโน ไรโอล่า เข้ามาเป็นเอเยนต์ส่วนตัว ป็อกบาจึงปฏิเสธสัญญาฉบับใหม่จากปีศาจแดง โดยปล่อยให้สัญญาสิ้นสุดลงแล้วเลือกย้ายไปยูเวนตุสเมื่อสิ้นฤดูกาล

ป็อกบาในวัย 19 ปีใช้เวลาปรับตัวที่อิตาลีไม่นานก็กลายเป็นกำลังหลักให้กับทีมม้าลาย นอกจากจะได้ลงสนามอย่างสม่ำเสมอแล้ว เขายังได้เล่นร่วมกับ อังเดร ปิร์โล มิดฟิลด์เบอร์ต้น ๆ ของโลก ทำให้ฝีเท้าของป็อกบาพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นนักเตะระดับโลกในที่สุด

ซานโชโมเดล

จาดอน ซานโช ถูกดึงสู่อคาเดมี่ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ตั้งแต่อายุ 14 ปี เขามีส่วนช่วยให้ทีมเยาวชนเรือใบสีฟ้าเข้ารอบชิงชนะเลิศเอฟเอยูธคัพ 2 ปีติดกัน แม้จะไปไม่ถึงแชมป์ แต่ก็ทำให้ปีกวัย 17 ก็กลายเป็นนักเตะดาวรุ่งที่ถูกจับตามองมากที่สุด

ในฤดูกาล 2016-17 ซานโช ทำผลงานได้อย่างร้อนแรงกับทีมเยาวชน โดยยิงไปถึง 20 ประตู แต่กลับไม่ได้รับการเหลียวแลจากเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในการเรียกขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ แม้แต่ช่วงที่ทีมหมดลุ้นแชมป์ไปแล้วก็ตาม ประกอบกับเวลานั้นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อุดมไปด้วยนักเตะต่างชาติที่ซื้อเข้ามา จนทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่าจะได้รับโอกาสลงสนามในอนาคต ยิ่งเมื่อโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทาบทามผ่านเอเยนต์ส่วนตัว ซานโชในวัย 17 ปีจึงเลือกปฏิเสธสัญญาจากทีมเรือใบ แล้วออกไปผจญภัยยังเมืองเบียร์แทน

ซานโช ใช้เวลาเพียง 2 ปี ก็ก้าวขึ้นมาเป็นตัวเลือกแรกในตำแหน่งปีก ถือเป็นนักเตะอังกฤษคนแรกที่ลงเล่นให้ทีมเสือเหลือง ก่อนจะกลายเป็นนักเตะที่แอสซิสต์มากที่สุดในลีก รวมไปถึงนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ 25 ประตูในศึกบุนเดสลีกา

บทเรียนจากสองโมเดล

จากเคสของป็อกบาและซานโช ทำให้เหล่านักเตะดาวรุ่งอังกฤษมีความหวังมากขึ้น เพราะหากมีความสามารถ แต่ไม่ได้รับโอกาสจากสโมสร การย้ายไปอยู่กับสโมสรใหญ่ในต่างแดนที่พร้อมหยิบยื่นโอกาสให้ ก็น่าจะช่วยให้เส้นทางอาชีพสดใสมากกว่าการเลือกลงไปเล่นในลีกระดับล่างด้วยสัญญายืมตัว

ความสำเร็จของเป็ป กวาร์ดิโอล่า กับความท้าทายที่ไม่รู้จุดจบ

หลังแมทช์การแข่งขันฟุตบอลเอฟเอคอมมิวนิตี้ชิลด์ 2019 จบลง เป็ป กวาร์ดิโอล่าก็พาทีมชูถ้วยอีกครั้งหลังเอาชนะ ลิเวอร์พูลลงได้ในการดวลจุดโทษ นับว่าเป็นการเริ่มต้นอย่างสวยงามในการเตรียมทีมแข่งขันพรีเมียร์ลีก 2019/2020 ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น สัญญาของเขาจะหมดลงในปี 2021 และเป็นไปได้ว่าเขาจะได้รับการต่อสัญญาเพิ่มอีก 5 ปี ด้วยจำนวนเงินที่สูงถึง 100 ล้านปอนด์

จากการที่เป็ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาคุม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังจากได้ลาออกจากการคุม บาเยิร์น มิวนิค ในปี 2016 นั้น เขาไม่สามารถทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าถ้วยใด ๆ ได้เลยในปีแรกที่คุมทีม แต่นำแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าสองถ้วยคือ แชมป์ลีกและคาราบาวคัพ ในปี 2017/2018 ต่อจากนั้นเป็ป กวาร์ดิโอล่า ก็ประกาศศักดานำทีมคว้าทริปเปิ้ลแชมป์มาครองได้สำเร็จ นั่นคือ แชมป์ลีก คาราบาวคัพ และเอฟเอคัพ ในปี 2018/2019

                อดีตผู้จัดการ บาเซโลน่า ยักษ์ใหญ่แห่งลาลีกาสเปน ในปี 2008 เป็ป กวาร์ดิโอล่าก็ได้พาทีมบาซ่าคว้าสามถ้วยในปี 2008/2009 ปีแรกที่เขาเข้ามาคุมทีมได้เลย คือถ้วยลาลีกา โคปาเดลเรย์ และยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก หลังจากนั้นเขายังประสบความสำเร็จด้วยการกวาดถ้วยทั้งหมด 14 ถ้วยในการคุมทีมของเขา แต่ปี 2011/2012 เขากลับล้มเหลว ไม่สามารถพาทีมคว้าถ้วยใด ๆ ได้เลยทั้งลาลีกา และยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกที่ตกรอบรองชนะเลิศโดยทำได้แค่เสมอเชลซี ทีมดังแห่งอังกฤษในบ้านแคมป์นู ซึ่งประตูได้เสียเป็นรอง

หลังจากตกรอบแชมป์เปี้ยนลีกไป เป็ป กวาร์ดิโอล่า ก็ได้ประกาศลาออกจากผู้จัดการทีม ทำให้เขาว่างเว้นจากการคุมทีมไปในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เพียงปีเดียว เป็ป กวาร์ดิโอล่าก็ได้รับการเซ็นสัญญาคุมทีม บาเยิร์น มิวนิค ยักษใหญ่แห่งเยอรมัน และฉายแววอัจฉริยะของผู้จัดการทีมอีกครั้ง โดยการพาทีม บาเยิร์น มิวนิคคว้าถ้วยแชมป์บุนเดสลีกาสามปีซ้อน อีกทั้งยังคว้าถ้วยเดเอฟเอส โพคาลอีก 2 ครั้งในปี 2013/2014 และ ปี 2015/2016 เขาได้ลาออกจากบาเยิร์น มิวนิค เพื่อหาความท้าทายใหม่ ในปีเดียวกันนั้น เขาได้รับการเซ็นสัญญาคุมทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แห่งอังกฤษและนำ แมนเชสเตอร์ ซิตี้กลับมาผงาดบนเวทีพรีเมียร์ลีกจนถึงปัจจุบัน และมีแนวโน้มว่าจะได้รับการต่อสัญญาออกไปอีกแน่นอน

                 นับว่าเป็ป กวาร์ดิโอล่า เป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่งในโลก ดูเหมือนว่าเส้นทางการเป็นผู้จัดการทีมของเขาจะยังอีกยาวไกล ความสำเร็จยังรอให้เขาพิสูจน์อีกมาก ด้วยอายุที่ยังน้อยบนเส้นทางสายนี้ แต่เขาสะสมประสบการณ์ในการคุมสโมสรระดับโลกทั้งสิ้น น่าติดตามเหลือเกินว่าจะมีความสำเร็จใดให้ เป็ป กวาร์ดิโอล่าไล่ล่าได้อีก นับว่าเป็นความท้าทายในชีวิตผู้จัดการทีมของเขาโดยแท้

เหตุใดซีดานจึงต้องการ ซาดิโอ มาเน่

ภายหลังที่ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด ประกาศแต่งตั้ง ซีเนดีน ซีดาน อดีตกุนซือชาวฝรั่งเศส ผู้สร้างตำนานการพาสโมสรประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก สามสมัยติดต่อกัน กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมอีกครั้ง ก็มีกระแสข่าวเกิดขึ้นอย่างหนาหูว่าทาง ซีดาน ต้องการให้สโมสรเดินหน้าคว้าตัวเหล่าสตาร์ชั้นนำของยุโรป เพื่อถ่ายเลือด
นักเตะใหม่ๆเข้ามาและพาสโมสรกลับมาเดินหน้าคว้าความสำเร็จอีกครั้ง

                หนึ่งในนักเตะที่ทางสื่อชั้นนำของสเปนต่างรายงานว่า นักเตะที่ ซีเนดีน ซีดาน ต้องการให้สโมสรคว้าตัวมาร่วมทีมให้ได้ นั่นคือ ซาดิโอ มาเน่ ปีกความเร็วสูงชาวเซเนกัลของสโมสรหงส์แดง ลิเวอร์พูล ที่ปัจจุบันกำลังโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง และเป็นส่วนสำคัญในการช่วยต้นสังกัดไล่ล่าคว้าความสำเร็จในคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก อยู่ในขณะนี้ร่วมกันกับผู้เล่นในแนวรุกอย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์

                แล้วเหตุใด ทำไม ซีดาน ถึงต้องการตัว ซาดิโอ มาเน่

                อย่างแรกต้องยอมรับว่า ปัจจุบันผู้เล่นแนวรุกในตำแหน่งปีกของสโมสร เรอัล มาดริด ต่างประสบปัญหากับฟอร์มการเล่นที่ไม่สม่ำเสมอ จึงไม่น่าแปลกใจที่ภายหลังการกลับมาของกุนซือชาวฝรั่งเศส จะต้องการคว้าตัวนักเตะในตำแหน่งปีกมาเป็นอันดับแรกๆ และก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า มาเน่ ถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดในขณะนี้

                นอกเหนือจากนั้น ดาวเตะชาวเซเนกัล ยังมีความโดดเด่นเรื่องสภาพร่างกายที่แข็งแกร่ง ความเร็วที่พร้อมจะกระชากหนีตัวประกบไปได้อย่างง่ายดาย และประสิทธิภาพการทำลายตาข่ายคู่แข่งที่ยอดเยี่ยม โดยจากสถิติการลงเล่นตลอดฤดูกาลนี้ให้กับสโมสรของ ซาดิโอ มาเน่ พบว่า เจ้าตัวมีค่าเฉลี่ยในการทำลายประตูฝ่ายตรงข้ามอยู่ที่ 0.60 ประตูต่อเกม กระชากผ่านคู่แข่งสำเร็จต่อเกมเฉลี่ย 1.6 ครั้ง โดยมีสถิติที่เหนือกว่า ดาวเตะในทีมราชันชุดขาวคนปัจจุบันอย่าง แกเร็ธ เบล ที่มีค่าเฉลี่ยในการทำประตูและการเลี้ยงผ่านคู่แข่งสำเร็จในฤดูกาลนี้อยู่ที่เพียงแค่ 0.47 ประตูและ 0.8 ครั้งตามลำดับ

                และที่ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความทุ่มเทและความฟิตที่ไม่มีหมด ทำให้ ซาดิโอ มาเน่ ไม่ได้มีดีเพียงแค่การเล่นในเกมรุก แต่ยังช่วยเหลือทีมในเรื่องของเกมรับด้วย โดยภาพที่แฟนบอล ลิเวอร์พูล พบเห็นได้อย่างชินตา คือภาพที่นักเตะรายนี้พยายามวิ่งไล่เอาบอลคืนจากคู่แข่งและสวนกลับอย่างรวดเร็ว รวมถึงเมื่อดูจากสถิติในฤดูกาลนี้จะพบว่า มาเน่ มีสถิติในการสกัดคู่แข่งสำเร็จอยู่ที่ 1.1 ครั้งต่อเกมเลยทีเดียว

                โดยที่กล่าวมาทั้งหมด ยังไม่ร่วมถึงจุดเด่นอีกอย่าง นั่นคือด้านความเป็นมืออาชีพของเจ้าตัว ที่มักจะไม่เคยเรียกร้องหรือมีปัญหาใดๆกับทางสโมสรและผู้จัดการทีม เรียกได้ว่าเปรียบดั่งขุนพลข้างกายที่พร้อมน้อมรับคำบัญชาจากกุนซือได้โดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งจุดนี้แหละ ที่อาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการพาสโมสรกลับไปสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

สามสุดยอดขุนพล ที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดในขณะนี้

ตลอดการสู้ศึกฟุตบอลทวีปยุโรปในฤดูกาลนี้ ได้เกิดการแข่งขันกันอย่างดุเดือดในทุกๆ ประเทศ โดยทุกสโมสรต่างต้องการคว้าถ้วยรางวัลภายในประเทศ และถ้วยรางวัลที่แข่งขันกันในระดับทวีปเพื่อนำมาเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จของสโมสร แต่แน่นอนว่าหากไม่มีขุนพลชั้นนำที่จะคอยทะลวงตาข่ายคู่ต่อสู้เพื่อโจมตีทีมคู่แข่งให้พ่ายแพ้ในการสู้ศึกนั้น คงเป็นการยากที่จะประสบความสำเร็จได้

แล้วเหล่าขุนพลที่จะคอยทะลวงปราการหลังคู่แข่งให้กับสโมสร และกำลังผลงานได้อย่างโดดเด่นเป็นที่จับตามองในขณะนี้มีใครกันบ้าง

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หนึ่งในดาวยิงชั้นนำตลอดทศวรรษชาวโปรตุเกสของสโมสร ยูเวนตุส ที่อายุไม่อาจรั้งฝีมือหรือศักยภาพในตัวนักเตะรายนี้ได้เลย โดยในปัจจุบันถึงจะเข้าสู่วัย 34 ปีแล้ว ก็ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จากผลงานตลอดการลงเล่นในฤดูกาลนี้ โรนัลโด้ มีส่วนร่วมกับประตูของสโมสรที่ทำได้เฉลี่ยทุกๆ 83 นาทีที่ได้ลงสนาม โดยคิดเป็นค่าเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 1.08 ประตูต่อ ชนะการดวลกลางอากาศเฉลี่ยต่อเกม 1 ครั้ง เปอร์เซ็นต์การผ่านบอลสำเร็จ 85.3 เปอร์เซ็นต์ และสร้างโอกาสยิงในแต่ละเกมเฉลี่ยสูงถึง 6.1 ครั้ง เรียกได้ว่านับตั้งแต่การย้ายมาของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้จุดประกายความหวังแก่เหล่าแฟนบอล ยูเวนตุส ว่า จะสามารถนำพาสโมสรกลับไปประสบความสำเร็จในเวทียุโรปอีกครั้ง

คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ดาวยิงวัยคะนองแห่งสโมสร ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ดีกรีดาวรุ่งผู้สามารถพาทีมชาติฝรั่งเศส คว้าแชมป์โลกสมัยล่าสุดไปครองได้สำเร็จ และถือว่าเป็นดาวรุ่งที่ได้รับการจับมองมากที่สุดในขณะนี้ โดยตลอดการลงเล่นในฤดูกาลนี้ของเจ้าหนู เอ็มบัปเป้ มีสถิติการเลี้ยงผ่านคู่แข่งสำเร็จเฉลี่ยสูงถึง 2.3 ครั้งต่อเกม มีส่วนร่วมกับประตูที่ทางสโมสรทำได้ในทุกๆ 65 นาที คิดเป็นค่าเฉลี่ยการมีส่วนร่วมกับประตูสูงถึง 1.39 ประตูต่อเกม จึงเป็นเหตุให้ยามใดที่สโมสรขาดดาวยิงอย่าง เนย์มาร์ หรือ เอดินสัน คาวานี่ เหล่าแฟนบอลต่างไม่เคยแสดงความรู้สึกกังวลแต่อย่างใด หากมีศูนย์หน้าดาวรุ่งชาวฝรั่งเศสรายนี้อยู่ในสนาม

และแน่นอนว่าในรายสุดท้าย คงเป็นเรื่องน่าแปลกใจหากจะไม่พูดถึงศูนย์หน้าผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์อย่าง
ลิโอเนล เมสซี่ ดาวยิงกัปตันสโมสร บาร์เซโลน่า ที่ในฤดูกาลนี้กลับมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้ง เมื่อมีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูที่สโมสรทำได้เฉลี่ยสูงถึง 1.57 ต่อเกม หรือในทุกๆ 57 นาทีที่ได้อยู่ในสนาม ยิ่งไปกว่านั้น เมสซี่ ยังมีสถิติการจ่ายลูกสร้างสรรค์โอกาสและการเลี้ยงผ่านคู่แข่งสำเร็จเฉลี่ยต่อเกมสูงถึง 3.1 ครั้งและ 3.8 ครั้งตามลำดับ โดยถ้าหากนับเฉพาะสถิติที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ลิโอเนล เมสซี่ ถือว่าเป็นนักเตะกองหน้าที่กำลังทำผลงานได้ดีที่สุดในทวีปยุโรปตลอดทั้งฤดูกาลนี้

สามผู้บัญชาแดนกลางแห่งฤดูกาล 2018/2019

เป็นที่รู้กันว่า ผู้เล่นในตำแหน่งกองกลางถือเป็นตำแหน่งสำคัญในสนามที่อาจเป็นตัวชี้วัดในศึกการแข่งขันที่ดุเดือด เนื่องจากเป็นจุดศูนย์กลางยุทธศาสตร์ในสนามรบที่จะช่วยเติมเต็มศักยภาพในการเล่นเกมรุกและเกมรับของทีม  เปรียบเสมือนฐานบัญชาการกองทัพที่จะคอยวางแผนส่งกำลังพลไปช่วยเหลือทัพในแดนหน้าหรือแดนหลัง เพื่อเติมเต็มประสิทธิภาพและให้เกิดเสถียรภาพความมั่นคงเพื่อกำชัยชนะในภายหลัง

ในขณะที่การแข่งขันฟุตบอลทั่วทั้งทวีปยุโรปในฤดูกาล 2018/2019 ได้ขับเคลื่อนมาจนถึงช่วงโค้งสุดท้ายของเกมการแข่งขัน สโมสรในแต่ละประเทศต่างกำลังมุ่งมั่นในการทำผลงานให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วมีนักฟุตบอลในแดนกลางคนไหนบ้าง ที่กำลังทำผลงานได้อย่างร้อนแรงมากที่สุดตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา และพาสโมสรเก็บผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอยู่ในขณะนี้

ดาบิด ซิลบา กองกลางชาวสเปนของสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถือเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่กำลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ภายใต้การฝึกสอนของผู้จัดการทีมอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โดยจุดเด่นของ ดาบิด ซิลบา อยู่ที่การสร้างสรรค์โอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม จากสถิติจะพบว่า ซิลบา มีสถิติการผ่านบอลสร้างสรรค์โอกาส 2.3 ครั้งต่อเกม และมีส่วนร่วมกับประตูทุกๆ
 166 นาทีที่ลงสนาม เรียกได้ว่าในยามที่ เควิน เดอ บรอยน์ มิดฟิลด์ตัวสร้างสรรค์เกมของทีมได้รับบาดเจ็บหรือโชว์ฟอร์มไม่ออกในฤดูกาลนี้ ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อรูปเกมมากนัก ตราบใดที่กองกลางรายนี้ได้บัญชาการเกมรุกอยู่ในสนาม

ปอล ป็อกบา กองกลางชาวฝรั่งเศส ดีกรีเจ้าของแชมป์โลกสมัยล่าสุดจากสโมสรปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ภายหลังการได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งกับผู้ที่ปลุกปั้นเขามาในวัยเยาว์อย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา นั้น ทำให้ ป็อกบา ถือว่าเป็นมิดฟิลด์ที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดในยุโรปถ้านับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูทุกๆ
118 นาที คิดเป็นค่าเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 0.76 ประตูต่อเกม ในขณะเดียวกันมีโอกาสการยิงประตูอยู่ที่ 3.2 ครั้งต่อเกม รวมถึงมีสถิติชนะการดวลกลางอากาศและสามารถเรียกฟาวล์สำเร็จต่อเกมอยู่ 1.7 ครั้ง และ 2 ครั้งตามลำดับ

และในรายสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ ติอาโก้ อัลคันทาร่า กองกลางชาวสเปนที่สังกัดสโมสร บาเยิร์น มิวนิค ที่ถือได้ว่าเป็นนักเตะในตำแหน่งมิดฟิลด์ที่มีความสามารถครบเครื่องที่สุดคนหนึ่งของยุโรป การันตีด้วยสถิติการผ่านบอลสำเร็จคิดเป็นเปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 92.3 เปอร์เซ็นต์ สกัดคู่แข่งสำเร็จเฉลี่ย 3 ครั้งต่อเกม แย่งบอลจากเท้าคู่แข่งสำเร็จต่อเกมอยู่ที่ 1.3 ครั้ง รวมถึงมีสถิติการเลี้ยงผ่านคู่แข่งและสถิติการจ่ายบอลยาวสูงถึง 1.9 และ 7.4 ครั้งตามลำดับ โดยหากนับเฉพาะมิดฟิลด์ที่คอยทำเกมจากแดนหลังนั้น ติอาโก้ อัลคันทาร่า ถือเป็นนักเตะที่ทำสถิติได้ดีที่สุดในทวีปยุโรปตลอดฤดูกาลนี้

แข้งล้นทีม ปล่อยยืมล้นโลก

คริสเตียน พูลิซิชเซ็นสัญญาย้ายทีมเข้าเป็นสมาชิกของสโมสรเชลซี แต่เขาจะกลับไปเล่นให้ดอร์ทมุนด์ต้นสังกัดเก่าแบบยืมตัว มันตลกตรงที่พูลิซิชเป็นแข้งรายที่ 42 ของเชลซีที่ปล่อยให้สโมสรอื่นยืมตัวไปเล่นในขณะนี้

ผู้เล่นอายุน้อยจำนวนมากจากทั่วโลกถูกเชลซีดึงมารวมทีมด้วยเหตุผลว่า แมวมองของเชลซีคิดว่าเด็กเหล่านี้มีพรสวรรค์มากพอที่จะเติบโตมาเป็นกำลังให้ทีมในอนาคตได้ แต่ในเมื่อยังไม่สามารถเบียดขึ้นสุ่ทีมชุดใหญ่ พวกเขาก็ต้องป้องกันไม่ให้เด็ก ๆ ขาดพัฒนาการ การส่งเด็กไปเล่นในสโมสรอื่นแบบยืมตัวจะช่วยให้พวกเขาพัฒนาตัวเองขึ้นมาจากโอกาสที่ได้ลงเล่น นับเฉพาะในตอนนี้ แข้งเชลซีที่ถูกยืมตัวไปใช้งานมีถึง 42 รายใน 11 ประเทศ 21 รายในอังกฤษ 1 รายในสก๊อตแลนด์ 1 รายในไอร์แลนด์เหนือ 4 รายในฮอลแลนด์ 2 รายในเยอรมัน 1 รายในเบลเยี่ยม 1 รายในเซอร์เบีย 2 รายในฝรั่งเศส 3 รายในอิตาลี 4 รายในสเปนและ 1 รายในบราซิล แต่ในจำนวนนี้เป็นการยืมตัวแบบเป็นทางการเพียง 18 รายเท่านั้น

เหตุผลที่สโมสรเชลซีกวาดต้อนแข้งเหล่านี้เข้าสู่สโมสรได้จำนวนมากก็เพราะพวกเขามีเครือข่ายแมวมองอยู่ทั่วโลก และเพราะไม่ได้มีแค่พวกเขาสโมสรเดียว ทำให้พวกเขากลัวว่าถ้าพวกเขาได้รู้ว่าเด็กคนหนึ่งมีพรสวรรค์สูงพอพัฒนาได้ ถ้าไม่คว้าเข้าทีมก็ต้องโดนทีมอื่นคว้าไปแน่นอน ดังนั้นเหตุผลหลักที่เชลซีดึงเด็ก ๆ เข้าทีมมากก็เพราะ หนึ่ง พวกเขาอาจจะได้เพชรเม็ดงามและสอง ทีมอื่นจะได้ไม่คว้าเอาไป

ในขณะเดียวกันสโมสรอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ก็มีผู้เล่นที่ปล่อยยืม 11 ราย ลิเวอร์พูล 6 ราย เอฟเวอร์ตัน 13 ราย วูล์ฟแฮมตัน 14 ราย โดยไม่มีสโมสรไหนเลยในพรีเมียร์ลีกที่ไม่มีนักเตะปล่อยยืมตัว ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นแค่ในอังกฤษ เพราะทีมใหญ่ในลีกอื่น ๆ ก็มักเป็นผู้เล่นดาวรุ่งเข้าสโมสรแล้วปล่อยยืมเช่นกัน ตัวอย่างเช่น โมนาโกในลีก เองที่ปล่อยยืม 9 ราย หรือในลา ลีก้า สเปน ก็มีทีมปล่อยยืมจาก 18 ทีมมากถึง 85 คน

ฟีฟ่าเองเห็นอันตรายในเรื่องนี้และพยายามที่จะเข้ามาจัดการ การกำหนดหลักเกณฑ์อย่างเช่นการจำกัดจำนวนนักเตะที่ย้ายแบบยืมตัวในคราวเดียวกันจะต้องไม่เกิน 8 รายถูกขู่จะนำมาใช้ แต่ฟีฟ่าก็ยังลงมือไม่ได้เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องการควบคุมปริมาณนักเตะของแต่ละสโมสรเท่านั้น หากแต่ยังกระทบไปถึงแนวทางบริหารเชิงธุรกิจของสโมสรด้วย

หลายสโมสรเล็กยินยอมพร้อมใจที่จะขายผู้เล่นที่มีคุณภาพและมีอนาคตของพวกเขาให้ทีมใหญ่ โดยมีเงื่อนไขขอยืมตัวไว้ใช้งาน เป็นการวิน-วินทั้งสองฝ่าย เพราะสโมสรใหญ่ก็สามารถซื้อดาวรุ่งในราคาถูกและสามารถดึงมาใช้งานได้หากพวกเขาพัฒนาฝีเท้าขึ้นมา ขณะที่ทีมเล็กก็ได้เงินแถมยังมีนักเตะใช้งาน ส่วนนักเตะก็ได้โอกาสในการแสดงฝีเท้าอย่างมีเป้าหมาย

มันยังเป็นเรื่องยากของฟีฟ่าที่จะจัดการเรื่องนี้ เพราะลึกลงไปแล้วสโมสรต่างก็พึ่งพาอาศัยกันอยู่ การจะมาหักดิบจำกัดจำนวนผู้เล่นเพื่อให้เกิดสมดุลในระบบฟุตบอลนั้นน่าจะไม่ใช่ทางออกที่ถูก นักเตะเองก็รู้ว่าพวกเขาอยู่บนเส้นทางเสี่ยงโชค ถ้าพวกเขามีโอกาสได้ลงเล่นให้ทีมใหญ่ก็มีสิทธิ์ได้ทั้งชื่อเสียงและรายได้ที่ดีกว่า เมื่อถูกเล็งโดยทีมใหญ่ ใครล่ะจะไม่ยากเสี่ยงวัดดวงดู