Category: ฟุตบอลอังกฤษ (page 1 of 2)

เจ้าของเปลี่ยน ประวัติศาสตร์เปลี่ยนของฟุตบอลอังกฤษ

ความแตกต่างของทีมอาร์เซน่อลกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกคืออะไร เหตุผลที่เชลซีในปี 2001 กับในปี 2004 กลับเป็นคนละทีมโดยสิ้นเชิง นั่นก็เพราะพวกเขาได้เจ้าของใหม่และส่งผลให้ทีมประสบความสำเร็จในอนาคต และในอีกด้านหนึ่งทำไมทีมนิวคาสเซิ่ลในยุค 2001 กับในปี 2009 ถึงต่างมีชะตากรรมที่ต่างออกไป หรือทิศทางของแบล็คเบิร์น โรเวอร์ที่เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในปี 1995 แต่กลายเป็นทีมที่ต้องตกชั้นในปี 2012 แทนเหตุผลก็เพราะพวกเขาได้เจ้าของใหม่อีกนั่นเอง ทั้งสองทางเป็นตัวอย่างที่ดีกว่าถ้าหากทีมใดมีการเปลี่ยนแปลงในเจ้าของทีมก็เหมือนอยู่ในทางแยกที่เขาอาจจะกลายเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จอันใกล้หรืออาจจะถูกกอบโกยโดยผู้บริหารจอมโลภจนทีมต้องไปสู่ยุคมืดในที่สุด

เจ้าของทีมจอมโลภกับจุดหักเหของทีมต่าง ๆ

สโมสรแบล็คเบิร์น โรเวอร์คือตัวอย่างที่ดีที่สุดของทีมฟุตบอลที่มีการเปลี่ยนเจ้าของทีมจนทีมต้องตกต่ำกว่าเดิม เพราะก่อนที่พวกเขาจะได้วีเอชกรุ๊ปมาเป็นเจ้าของพวกเขาในปี 2010 พวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงทีมเป็นอย่างแรกเลยก็คือปลดผู้จัดการทีมมากประสบการณ์อย่างแซม อัลลาไดซ์ แล้วแต่งตั้งสตีฟ คีนมาเป็นผู้จัดการทีมซึ่งเป็นที่น่าตกใจของแฟนบอลเป็นอย่างมาก เพราะคีนไม่ใช่ผู้จัดการทีมที่มีประสบการณ์อะไรและมีข่าวลือกันว่าผู้จัดการส่วนตัวของคีนอย่างเจอโรม แอนเดอร์สันว่ามีส่วนทำให้กลุ่มวีเอชสามารถซื้อสโมสรได้สำเร็จ และแน่นอนว่าจุดจบของสโมสรในการเล่นในลีกสูงสุดก็มาถึงเมื่อแบล็คเบิร์นจบฤดูกาลด้วยอับดับรองบ๊วยและมีเพียง 31 แต้มจนต้องตกไปอยู่ลีกรองอย่างแชมเปียนส์เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี ซึ่งเรื่องราวยังไม่จบแค่นั้นเมื่ออีก 5 ปี ต่อมาทีมกุหลาบไฟกลับต้องตกชั้นไปอยู่ลีกวันหรือลีกอันดับสามของประเทศ ก่อนที่จะใช้เวลา 1 ปีเพื่อกลับมาอยู่ลีกแชมเปียนส์ชิพอีกครั้งและยังไม่สามารถหลุดพ้นกลับขึ้นมาสู่พรีเมียร์ลีกจนถึงปัจจุบัน

เจ้าของทีมจอมทุ่มและถ้วยรางวัลประดับตู้

ในทางตรงกันข้าม สโมสรอย่างเชลซีหรือแมนเชสเตอร์ ซิตี้หรือแม้แต่เลสเตอร์ ซิตี้ก็ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการมีเจ้าของทีมที่ต้องการเห็นความสำเร็จจริง ๆ กับสโมสรนั้น ๆ อย่างเชลซีที่มีโรมัน อัมบราโมวิชเศรษฐีชาวรัสเซียที่ยอมทุ่มเงินซื้อนักเตะระดับโลกเข้ามารวมถึงผู้จัดการทีมอย่างโชเซ่ โมรินโญ่หรือคาร์โล อันเชล็อตติที่ทำให้พวกเขากลายเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในที่สุด ส่วนทางด้านแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่โดนคู่ปรับร่วมเมืองอย่างปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกดขี่มาตลอดจากยุครุ่งเรืองนับตั้งแต่ยุค 90 จนกระทั่งการมาของกลุ่มอาบูดาบีทำให้พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดตัดหน้าทีมปีศาจแรกไปแบบเจ็บช้ำที่สุดในสมัยแรกของพวกเขา หรือผลงานในปัจจุบันที่ทีมผีแดงไม่มียอดผู้จัดการทีมอย่างเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันคอยดูแลทีมอีกต่อไป แต่ในทางกลับกันทีมเรือใบสีฟ้าสามารถจ้างผู้จัดการทีมไฟแรงและมากความสามารถอย่างเป็น กวาดิโอลามาดูแลและพาทีมเป็นแชมป์พรีเมียร์ได้อีกสองสมัยรวด จนกระแสการเรียกร้องเจ้าของใหม่ของทีมปีศาจเริ่มมีการส่งเสียงออกมาบ้างแล้วจากกลุ่มแฟน ๆ

แม้ว่าการเปลี่ยนเจ้าของจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทีมได้แบบหน้ามือเป็นหลังมือภายในเวลาอันสั้น เพราะบางทีมอย่างเอฟเวอร์ตันหรือฟูแล่มก็ไม่สามารถพาทีมบินสูงได้อย่างที่ควรจะเป็นแม้ว่าเจ้าของจะทุ่มเทให้กับสโมสรก็ตาม ส่วนการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจก็คงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากขึ้นในยุคที่มีโรคระบาดและทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกต้องถูกกระทบอย่างรุนแรงจนวงการฟุตบอลก็ไม่สามารถเลี่ยงได้เช่นกัน ก็ได้แต่หวังว่าขอให้เจ้าของทีมให้ใจกับสโมสรและฟังเสียงเรียกร้องของแฟน ๆ ก็เพียงพอแล้ว อย่างที่เราเห็นได้ทั่วไปในฟุตบอลอีกลีกดังอย่างเยอรมันนั่นเอง

นอริช ซิตี้ นกขมิ้นสีเหลืองกับฉายาขาประจำจอมตกชั้น

ในการแข่งขันที่มีทั้งความสมหวังและผิดหวัง ในการแข่งตลอดฤดูกาลเมื่อจบนัดที่ 38 ของพรีเมียร์ลีกแล้วก็มีจะทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ในตาราง ซึ่งสามทีมที่อยู่ท้ายตารางก็จะต้องตกชั้นลงไปเล่นในลีกรองอย่างแชมเปียนส์ชิพ โดยตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีทั้งทีมใหญ่ที่พลิกตกชั้นไปอย่างน่าเสียดายทั้งแบล็คเบิร์น โรเวอร์หรือลีดส์ ยูไนเต็ดที่เคยเป็นถึงอดีตแชมป์ลีกสูงสุด และทีมขาประจำที่คอยเลื่อนชั้นตกชั้นอยู่ตลอดเวลาเช่น นอริช ซิตี้ เจ้าของฉายานกขมิ้นสีเหลืองนั่นเอง โดยที่การเลื่อนชั้นของพวกเขาเกิดขึ้นทั้งหมด 5 ครั้ง แต่ทว่าการตกชั้นของพวกเขากลับมีจำนวนมากกว่าเสียอีก เรียกว่าเป็นทีมขาประจำที่คอยเป็นน้องใหม่หน้าเก่าเสมอในลีกสูงสุดของอังกฤษ

การเลื่อนชั้นของพวกเขา

การเลื่อนของเขาครั้งแรกเกิดขึ้นในฤดูกาล 2004-2005 ซึ่งเป็นถือเป็นทีมหน้าใหม่ในพรีเมียร์ลีกเป็นอย่างมากในเวลานั้น เพราะเป็นเวลาเกือบสิบปีที่พวกเขาต้องตกชั้นลงไป พร้อมกับสถิติที่ไม่น่าจดจำอย่างการที่พวกเขาไม่สามารถคว้าชัยนอกบ้านของพวกเขาได้เลยสักนัดเดียว และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงทำได้แค่อันดับที่ 19 หลังจากจบฤดูกาลไป และพวกเขาต้องรออีกถึง 7 ปีจนกระทั่งก้าวขึ้นมาสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งนึง โดยในระหว่างนั้นพวกเขาต้องลงไปเล่นในลีกลำดับที่ 3 ก่อนจะเลื่อนชั้นกลับขึ้นในแชมเปียนส์ชิพอีกครั้งและใช้เวลาอีก 2 จนกลับมาสู่ลีกสูงสุดในปี 2011 ลงแข่งขันได้นานถึง 3 ฤดูกาลก่อนจะที่ในปี 2015 พวกเขาจะลงไปเล่นในแชมเปียนส์ชิพเหมือนเดิม แต่ทีมนกขมิ้นก็ไม่ต้องบินต่ำอยู่นาน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะจบฤดูกาลด้วยลำดับที่ 3 ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเลื่อนชั้นแบบอัตโนมัติ พวกเขาทำได้เพียงไปแข่งเพลย์ออฟต่อแต่นอริชก็สามารถปราบทีมอิปส์วิช ทาวน์และมิดเดิ้ลส์โบห์จนคว้าตำแหน่งแชมป์เพลย์ออฟและก้าวขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกอันเป็นที่รักของเขาได้อีกครั้ง

และการเลื่อนชั้นครั้งสุดท้ายของเขาถือว่าเป็นครั้งที่สวยงามที่สุดของสโมสร เพราะพวกเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกแชมเปียนส์ชิพได้สำเร็จโดยทำไปได้ถึง 94 แต้มจาก 46 นัด เรียกว่าเหล่านักพนันยิ้มแก้มปริ เพราะลงแข่งในลีกรองเป็นประจำจนประสบความสำเร็จ วางเดิมพันอย่างไรก็ชนะทุกทีเลยทีเดียว

การตกชั้นของพวกเขา

มีพบก็ต้องมีจาก แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเลื่อนได้บ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่พวกเขากลับไม่เคยอยู่ในพรีเมียร์ลีกได้นานเกิน 4 ฤดูกาลเลย หลังจากที่ตกชั้นครั้งแรกในพรีเมียร์ลีกในปี 1995 ซึ่งในสมัยนั้นยังมีทีมลงแข่งทั้งหมด 22 ทีม และพวกเขาจบด้วยอันดับที่ 20 และต้องตกชั้นไปพร้อม ๆ กับคริสตัล พาเลซ เลสเตอร์ ซิตี้และอิปส์วิช ทาวน์ ก่อนที่จะต้องรอเป็นเกือบ 10 ปีเพื่อที่จะกลับขึ้นชั้นอีกครั้ง แต่ทว่าในฤดูกาลถัดมานอริชกลับทำได้แค่ 33 แต้มซึ่งน้อยกว่าทีมที่รอดตกชั้นเพียงแต้มเดียวและน่าเสียใจไปกว่านั้นคือก่อนลงแข่งนัดสุดท้ายพวกเขาอยู่อันดับที่ 17 โซนปลอดภัยแต่กลับไม่สามารถออกไปแพ้ฟูแล่มถึง 6-0 จนต้องยอมรับชะตากรรมไป แต่เรื่องน่าเศร้าของพวกเขายังไม่จบหลังจากที่เมาหมัดอยู่ในแชมเปียนส์ชิพอยู่ 4 ปี พวกเขาก็ต้องตกชั้นไปอยู่ลีกวัน ซึ่งเป็นลีกลำดับที่สามของประเทศอังกฤษ ก่อนจะใช้เวลาไม่นานจนกลับมาสู่พรีเมียร์ลีกในที่สุด

เรียกว่านอริชยุคใหม่ทำได้ดีมากขึ้นเมื่อพวกเขายังลองเล่นในพรีเมียร์ลีกได้นานถึง 3 ฤดูกาลก่อนจะพลาดท่าตกชั้นอีกครั้งในปี 2014 แล้วกลับขึ้นมาใหม่ในปี 2015 แล้วตกกลับลงไปอีกครั้งด้วยอันดับ 19 ของตาราง ก่อนจะขอปิดท้ายสด ๆ ร้อน ๆ ในปี 2020 ที่พวกเขาจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 20 ครองตำแหน่งสุดท้ายของตารางแม้จะเป็นปีที่แจ้งเกิดของกองหน้าอย่างปุ๊กกี้ก็ตาม

น่าเสียดายที่ทีมนกขมิ้นสีเหลืองกลับไม่สามารถรักษามาตรฐานของตัวเองจนไม่อาจจะอยู่ในลีกสูงสุดได้เป็นเวลานาน แต่เชื่อได้เลยว่าด้วยประสบการณ์ของพวกเขาจะทำให้แฟนบอลคงไม่ต้องคอยรอนานที่จะได้เห็นทีมเขียวเหลืองนี้กลับมาแข่งในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง และหวังว่าคราวนี้พวกเขาจะกลายเป็นขาประจำในลีกสูงสุดเสียที

30 ปีของลิเวอร์พูล จากวันที่ไปยุโรปก็พอแล้วสู่ผู้นำที่แท้จริง

ถ้ามีลูกตั้งแต่วันที่ทีมหงส์แดงเป็นแชมป์ครั้งสุดท้าย ตอนนี้เด็กคนนั้นก็ต้องทำงานหรือมีครอบครัวไปแล้ว นั่นคือระยะเวลานานกว่า 30 ปีที่ลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ลีกสูงสุดในช่วงที่พรีเมียร์ลีกยังไม่เคยเกิดขึ้น โดยช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นพวกเขาต่างเฝ้ารอความสำเร็จในประเทศตัวเองมาตลอด และต้องอยู่ใต้ร่มเงาของคู่ปรับอย่างปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเป็นระยะเวลานาน จนกระทั่งช่วงนึงที่พวกเขาขอแค่ทำอันดับไปแข่งยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกให้ได้ก็พอ ก่อนที่การมาของผู้จัดการทีมชาวเยอรมันอย่าง เจอร์เก้น คลอปป์ที่ทำให้พวกเขาไปถึงฝั่งฝันได้สำเร็จอย่างสวยงาม

ช่วงตกต่ำของทีม

นับตั้งแต่วันที่ลิเวอร์พูลทีผู้จัดการทีมที่ชื่อว่าเคนนี่ ดัลกลิช ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่พาทีมคว้าแชมป์ได้สำเร็จ พวกเขาก็เปลี่ยนตัวโค้ชมาหลายต่อหลายคนทั้งแกรม ซูเนส รอย อีแวนส์ไปจนถึงราฟาเอล เบนิเตซ จนครั้งนึงที่คิงเคนนี่ต้องกลับมาคุมทีมอีกครั้ง แต่นั่นก็ไม่สามารถทำให้ทีมคว้าแชมป์ได้อีกเลย โดยเฉพาะช่วงปี 2003 ของเชอร์ราด์ อูลิเยร์ที่พวกเขาต้องพลาดการไปเล่นรายการยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกส์ด้วยซ้ำเพราะพวกเขาจบฤดูกาลในอันดับที่ 5 และจากการแพ้ต่อเชลซีในนัดสุดท้ายไปอย่างน่าเสียดาย

ก่อนที่เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นซ้ำอีกเมื่อฤดูกาลสุดท้ายของราฟาเอล เบนิเตซที่ความมหัศจรรย์สมัยที่เขาพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกได้หมดลงไปแล้ว ทำให้เขาทำอันดับได้แค่ที่ 7 ก่อนที่รอย ฮอดจ์สันและเคนนี่ ดัลกริชจะมารับช่วงต่อ แต่ทีมก็ยังไม่สามารถกลับไปลงแข่งในรายการใหญ่ประจำทวีปยุโรปได้เสียที จนกระทั่งการมาของเบรเดน รอดเจอร์ส ที่เกือบทำให้พวกเขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จหากว่าพวกเขาไม่พลาดในช่วงสี่นัดสุดท้ายของฤดูกาลและทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ตกเป็นรองมาตลอดเกือบทั้งซีซั่น ปาดหน้าคว้าแชมป์ไปแบบน่าเจ็บใจ

การมาของเจอร์เก้น คลอปป์

ฝันร้ายของลิเวอร์พูลต้องใช้เวลารักษาอยู่นานพอควร เพราะว่าการมาของกุนซือชาวเยอรมันไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงทีมได้ในช่วงข้ามคืนแต่พวกเขาก็มีความหวังมากขึ้น เพราะในฤดูกาลแรกที่เขาลงแข่งก็สามารถไปถึงรอบชิงชนะเลิศในรายการยูฟ่า ยูโรป้าคัพแต่พวกเขากลับต้องพ่ายแพ้ต่อเซบีย่าไป 3-1 จนเป็นได้แค่รองแชมป์เท่านั้น ก่อนที่ฝันร้ายของเขาจะยังไม่จบเมื่อปีต่อมาก็ทำได้เพียงเป็นรองแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกในแมตช์ที่ผู้รักษาประตูอย่างคาริอุสจะต้องจดจำไปอีกนาน และแล้วความสำเร็จของนายใหญ่ชาวเยอรมันก็มาถึงเมื่อในฤดูกาล 2018-2019 พวกเขาสามารถเอาชนะท็อตแนม ฮอสเปอร์จนคว้าแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรปไปได้เป็นสมัยที่ 6 แม้ว่าในฤดูกาลเดียวกันพวกเขาจะพลาดท่าเป็นได้แค่รองแชมป์พรีเมียร์ลีกเท่านั้น โดยมีแต้มห่างจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้แค่เพียง 1 คะแนนเท่านั้น แต้มห่างแค่นี้เรียกว่านักพนันทีมแชมป์มีทั้งยิ้มและโกรธเคืองเลยทีเดียว

แต่แล้วการรอคอยของเดอะ ค็อปก็จบลงเมื่อฤดูกาล 2019-2020 พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้สำเร็จจากมาตรฐานที่แข็งแกร่งของพวกเขาที่แพ้แค่ 3 นัดและเก็บไปได้ถึง 99 แต้ม เป็นทีมอันดับหนึ่งแบบรวดเดียวจบได้อย่างสมศักดิ์ศรีและชื่อของเจอร์เก้น คล็อปป์จะถูกจดจำไปอีกนานเลยทีเดียว

แม้ว่าการฉลองของพวกเขาจะจืดชืดกว่าทุกปีเนื่องจากสถานการณ์ในโลกปัจจุบันที่ยังมีโรคระบาดไปแทบทุกพื้นที่ และฤดูกาลจะต้องแข่งขันกันนานกว่าปกติ เพราะมีการพักไปกว่า 3 เดือน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้แฟนของลิเวอร์พูลจะต้องเสียใจอะไร เพราะถ้วยสำคัญที่พวกเขาห่างเหินมานานได้มาสู่อ้อมกอดของเขาแล้ว และก้าวต่อไปของเขาก็คือจะทำอย่างไรถึงจะกลับมาคว้าแชมป์แบบนี้ได้อีกครั้ง ซึ่งในอนาคตอาจจะเป็นชื่อของทีมลิเวอร์พูลอีกครั้งที่เป็นผู้นำในฐานะสโมสรที่คว้าแชมป์ลีกได้มากที่สุดบนเกาะอังกฤษ

นายใหญ่ชาวอาร์เจนผู้บ้าคลั่งในนาม มาร์เซโล บิเอลซ่า

ผลหลังจากที่ฤดูกาล 2019-2020 ของทีมลีดส์ ยูไนเต็ดจบลงด้วยการเป็นแชมป์ลีกรองและคว้าสิทธิเลื่อนชั้นขึ้นพรีเมียร์ลีกในที่สุด ถือเป็นการจบการรอคอยนานถึง 16 ปี ซึ่งที่ผ่านมาทีมยูงทองต้องผ่านเรื่องราวมากมายกว่าจะสามารถกลับมาแข่งขันในลีกสูงสุดได้สำเร็จ ส่วนหนึ่งก็คือการมาของมาร์เซโล บิเอลซ่ากุนซือชาวอาร์เจนติน่า ซึ่งเป็นคนที่แม้แต่ยอดผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้อย่างเป็ป กวาติโอล่ายังต้องยอมรับว่าเขาคือของจริง แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นที่รู้จักมากก็ตามในทวีปยุโรป แต่เขาก็ประสบความสำเร็จมากมายในแถบอเมริกาใต้และเบื้องหลังความสำเร็จของเขากับลีดส์ที่ไม่ได้ใช้เวลานานอย่างที่แฟน ๆ ต้องรออย่างที่ผ่านมา

เกียรติประวัติของบิเอลซ่า

ถ้าจะบอกความสำเร็จง่าย ๆ เกี่ยวกับบิเอลซ่าก็คือเขาคือผู้จัดการทีมชาติอาร์เจนติน่าที่พาลีโอเนล เมสซี่คว้าเหรียญทองในการแข่งขันโอลิมปิกในปี 2004 นั่นเอง และนี่คือเหตุผลว่ามีข่าวหลุดออกมาว่าตัวของเมสซี่เองก็อยากจะร่วมงานกับเขาอีกครั้งในอนาคต แต่ในส่วนของความสำเร็จกับสโมสร เขาเคยพาทีมอย่างนีเวลล์ โอลด์บอยส์คว้าแชมป์ลีกที่ประเทศบ้านเกิดในปี 1991 และพาสโมสรแอตแลนติก บิลเบาซึ่งอยู่ระดับกลางตารางในลีกลาลีกาสเปน เข้าชิงแชมป์ยูฟ่า ยูโรป้า ลีกและโคปา เดอ เรย์ที่เป็นถ้วยศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ แต่น่าเสียดายที่เขาทำได้แค่เพียงรองแชมป์ทั้งสองใบ

ส่วนสไตล์การคุมทีมของเขาถือเป็นที่เลื่องลือมาก เพราะเขาจะเป็นคนเก็บรายละเอียดมาก ๆ รวมทั้งส่งแมวมองไปสังเกตการเล่นของแต่ละทีม และผู้เล่นแต่ละคนอีกด้วย แม้มันจะดูเป็นเรื่องปกติในสมัยนี้ แต่กับช่วงสิบปีหรือยี่สิบปีก่อน นี่ถือเป็นเรื่องที่ใหม่มาก รวมถึงการใช้จิตวิทยากับลูกทีมจนใครก็หาว่าเขาเป็นคนบ้าคนหนึ่งเลยทีเดียว

การคุมทีมยักษ์หลับอย่างลีดส์

ทีมยูงทองถือเป็นทีมจอมเกือบในลีกแชมเปียนส์ชิพเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการแพ้ดาร์บี้ เคาท์ตี้ทั้ง ๆ ที่ชนะมาก่อนในนัดเพลย์ออฟเพื่อสิทธิ์การเลื่อนชั้น หรือพลาดท่าในช่วงท้ายฤดูกาลจนไม่อาจจะคว้าแต้มพอที่จะอยู่ภายในอันดับ 6 ของตาราง แต่การมาของมาร์เซโล่ บิเอลซ่าทำให้ทีมอย่างลีดส์ ยูไนเต็ดมีชีวิตชีวามากขึ้นและเขาสามารถแก้ปัญหาที่ทีมชอบแผ่วปลายในช่วงท้ายฤดูกาลจนต้องพลาดท่าเสมอ แต่ในปีแรกเขาเกือบจะพาทีมเป็นแชมป์ แต่หลังจากที่ทีมเสียสมาธิที่ตัวผู้จัดการโดนวิจารณ์เรื่องที่เขาส่งคนไปสอดแหนมขณะที่คู่แข่งฝึกซ้อม และสุดท้ายกลับทำได้เพียงอันดับ 3 ของตารางและแพ้ในรายการเพลย์ออฟอย่างที่กล่าวข้างต้น

แต่ความสำเร็จของพวกเขาก็มาถึงเมื่อลีดส์ ยูไนเต็ดที่ตอนแรกเริ่มฉายแววแผ่วปลายเช่นเคย แต่ด้วยความเขี้ยวของเขาเองทำให้ทีมยูงทองยังสามารถเก็บชัยชนะไว้ได้ตลอด จนกระทั่งพวกเขาสามารถเป็นแชมป์ได้ก่อนจบฤดูกาลถึง 2 นัดและคว้าแต้มไปได้ถึง 93 คะแนนพร้อมกับสถิติเสียประตูน้อยที่สุดในลีกอีกด้วย

ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่รอดในพรีเมียร์ลีกได้หรือไม่ก็ตาม แต่ชื่อของมาร์เซโล่ บิเอลซ่าก็ถือว่าเป็นตำนานของทีมได้แล้ว หลังจากที่ช่วยปลุกให้แฟนบอลต้องตื่นจากฝันร้ายที่ยาวนานกว่า 16 ปีได้ และนี่คงจะเป็นหนึ่งในเครื่องพิสูจน์ว่าชายที่เก็บทุกรายละเอียดและมีจิตวิทยาเฉพาะตัว สามารถพาทีมที่แทบจะหมดหวังในการเลื่อนชั้นไปแล้วกลับมาได้สู่ที่ ๆ เคยเป็นของพวกเขาอีกครั้งนึงนั่นเอง

บรรดาลูกนกของเฟอร์กูสันยุค 90 ใครรุ่ง ใครร่วง

ในยุค 90 ทีมฟุตบอลที่ครองลีกอังกฤษคงหนีไม่พ้นทีมปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่คุมโดยเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันพร้อมกับตำแหน่งแชมป์ลีกสูงสุดมากถึง 13 สมัยตลอดการคุมทีมของเขา แต่ช่วงครึ่งแรกของเขามีการกำเนิดของเหล่าผู้เล่นวัยเยาว์ที่สร้างความฮือฮาให้กับทีมเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นเดวิด เบคแฮม, นิกกี้ บัตต์, ไรอัน กิ๊กส์, พี่น้องตระกูลเนวิลล์ และพอล สโคลส์ ถึงนักเตะกลุ่มนี้คือฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ลีกได้มากที่สุด รวมไปถึงการได้แชมป์ยุโรปและทัวร์นาเมนต์ต่าง ๆ ในประเทศอีกด้วย แต่ทว่าไม่ใช่พวกเขาทุกคนที่จะอยู่กับทีมไปตลอด และบางคนก็จำเป็นต้องแยกทางกับทีมและไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพดังเดิม

นักเตะที่ต้องจำใจลาจากสโมสร

ชื่อแรกของนักเตะที่ออกจากทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยุครุ่งเรืองคงหนีไม่พ้นเดวิด เบคแฮมที่มีข่าวทะเลาะกับเฟอร์กูสันจนถึงขั้นเกือบฟาดกันในห้องแต่งตัวและส่งผลให้เบคแฮมถึงกับคิ้วแตกออกมาจากสนามไป แต่เขายังถือว่ามีอาชีพค้าแข้งที่ดีเพราะการย้ายไปอยู่กับรีล มาดริดยักษ์ใหญ่ของสเปนและมิลาน ยังถือเป็นการลงเล่นในลีกชั้นนำของยุโรปอยู่ดี แต่ทางนิกกี้ บัตต์และฟิล เนวิลล์ไม่ใช่แบบนั้น ทางเนวิลล์คนน้องต้องย้ายไปเป็นตำนานของทีมเอฟเวอร์ตันแทน และเขาถือว่ามีฟอร์มการเล่นที่ดีพอสมควร ได้พาทีมไปแข่งในรอบคัดเลือกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกด้วย แต่ทว่าหากเทียบความสำเร็จที่เคยเป็นแชมป์ลีกสูงสุดและถ้วยใบใหญ่ของยุโรปแล้ว นี่คือสิ่งที่เทียบกันไม่ติดเลยทีเดียว

ทางด้านนิกกี้ บัตต์กองกลางสายแกร่งอีกคนก็ไม่ได้อาชีพที่น่าจดจำมากเท่าไหร่นักหลังจากออกจากโอลด์แทรฟฟอร์ด นั่นก็เพราะเขาย้ายไปเล่นให้กับทีมนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดและจุดตกต่ำของเขาก็มาถึงเมื่อทีมของเขาได้ตกชั้นไปในฤดูกาล 2009-2010 และต้องลงไปเล่นในลีกแชมปเปียนชิพแทน และสถิติที่เขาเคยเล่นในพรีเมียร์ลีกมาโดยตลอดต้องจบลงไปพร้อมกัน ก่อนที่ในฤดูกาลสุดท้ายเขาจะสามารถพาทีมสาลิกาดงคว้าแชมป์ลีกรองและตีตั๋วกลับมาเล่นในลีกสูงสุดได้อีกครั้ง

นักเตะที่ได้ไปต่อในรังปีศาจ

แม้ว่านักเตะบางส่วนจะต้องย้ายทีมออกไปอย่างน่าเสียดาย แต่นักเตะอย่างไรอัน กิ๊กส์หรือแกรี่ เนวิลล์ก็ถือเป็นกำลังหลักของทีมในช่วงเปลี่ยนผ่านของนักเตะอีกรุ่นของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเพราะการที่มีนักเตะที่ในเวลานั้นเป็นพี่ใหญ่ของทีมที่มาผสมกับนักฟุตบอลรุ่นใหม่อย่างเวนย์ รูนี่ย์หรือคริสเตียนโน่ โรนัลโด้ทำให้ทีมประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกหรือยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีกสมัยที่สองของเฟอร์กูสันที่สามารถเอาชนะเชลซีในรอบชิงชนะเลิศไปได้ ซึ่งในขณะนั้นไรอัน กิ๊กส์ถือเป็นผู้นำคนสำคัญของทีม และพอล สโคลส์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวทีเด็ดในช่วงครึ่งหลังได้เสมอ จนกระทั่งวันที่เฟอร์กี้ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งสุดท้ายในปี 2013 ก่อนที่ไรอัน กิ๊กส์จะแขวนรองเท้าในปีถัดมาถือเป็นการปิดฉากกลุ่มลูกนกอย่างสมบูรณ์

แม้ว่าตำนานนักเตะของเฟอร์กี้ปี 92 จะไม่ได้อยู่กับทีมและผู้จัดการคนเก่งไปจนถึงวันที่เขาบอกลากับสโมสรแต่ความผูกพันธ์กับพวกเขากับผู้จัดการทีมถือว่าเป็นสิ่งที่ตัดไม่ขาด แฟนบอลมักจะเห็นคำสัมภาษณ์ของผู้เล่นที่ยกย่องเฟอร์กูสันอยู่เสมอ และต้องยอมรับว่าพวกเขาได้สร้างตำนานที่ใครจะลบเลือนยากที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดแห่งนี้

ทำไมการรักษาแชมป์ถึงยากกว่าการเป็นแชมป์เสียอีก

การแข่งขันฟุตบอลที่ทุกคนต่างก็ต้องการไขว่คว้าความสำเร็จให้กับทีม จนมีหลาย ๆ ทีมที่สมหวังและสโมสรอีกมากมายที่ต้องผิดหวังในตอนท้ายหรือความกดดันบางอย่างที่ให้พวกเขาไม่สามารถประสบความสำเร็จดังเดิม แฟนบอลจึงเห็นตัวอย่างเสมอว่า การเป็นแชมป์เพียงครั้งเดียวของทีมหน้าใหม่หรือการผลัดกันคว้ารางวัลของทีมใหญ่เพราะพวกเขาไม่สามารถรักษามาตรฐานของตัวเองไว้ได้ โดยตัวอย่างที่ผ่านมาทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและเชลซีสามารถป้องกันแชมป์ลีกสูงสุดได้สำเร็จ และมีทีมอย่างเลสเตอร์ ซิตี้และแบล็คเบิร์น โรเวอร์ที่มีโอกาสสัมผัสถ้วยรางวัลเพียงครั้งเดียวในสโมสรจนถึงปัจจุบัน

การป้องกันแชมป์ไม่ง่ายอย่างที่คิด

เทพนิยายของเลสเตอร์ ซิตี้หรือแบล็คเบิร์น โรเวอร์ที่ปาดหน้าทีมใหญ่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แต่ผลที่ตามมาของพวกเขาก็คือเขาไม่อาจสร้างมาตรฐานเดิมที่เคยทำไว้ได้ ในด้านของทีมกุหลาบไฟที่คว้าแชมป์มาครองในฤดูกาล 1994-1995 ก็ทำได้เพียงอันดับที่ 7 เท่านั้นในปีถัดมาและไม่ได้ไปแม้แต่การลงเล่นฟุตบอลยุโรปเลยด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งก็เพราะกระแสข่าวลือที่กองหน้าคนสำคัญของทีมอย่างอลัน เชียร์เรอร์ต้องการย้ายไปอยู่กับทีมนิวคาสเซิ่ลนั่นเอง

ส่วนทีมอย่างจิ้งจอกน้ำเงินหรือแม้แต่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ก็ไม่สามารถป้องกันแชมป์ได้หลังจากคว้าแชมป์สมัยแรกได้เช่นกัน เพราะเลสเตอร์ที่สามารถคว้าแชมป์ได้อย่างมหัศจรรย์ในปี 2016 ก็ทำอันดับต่ำอย่างไม่คาดคิดคือการจบที่ 12 ในตาราง โดยเหตุผลสำคัญของผลงานพวกเขาก็คือการย้ายทีมของเอ็นโกโล กองเต้กองกลางตัวหลักที่เปลี่ยนไปคว้าแชมป์สมัยที่สองของเขากับเชลซีแทน ส่วนทีมเรือใบสีฟ้าเจอความเขี้ยวของคู่ปรับร่วมมือและเป็นการส่งท้ายของเฟอร์กี้ที่ทำให้พวกเขาเป็นแชมป์อีกครั้งในที่สุด

การป้องกันแชมป์เป็นเรื่องของจิตใจ

ทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องของความเขี้ยวคงหนีไม่พ้นทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในสมัยที่มีเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสันเป็นผู้นำทีมเพราะเขาสามารถพาทีมเป็นแชมป์ติดต่อกันไม่ว่าจะเป็นปี 1998-2001 หรือในปี 2006-2009 จนความแข็งแกร่งของเขาพาตัวเองไปเป็นแชมป์ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีกได้อีกสมัย ส่วนอีกทีมหนึ่งก็คือเชลซีของผู้จัดการที่ชื่อว่า โชเซ่ มูรินโญ่ที่ขึ้นชื่อเรื่องการเก็บแต้มและความเหนียวแน่นของเกมรับที่ทำให้พวกเขามักจะเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดเสมอ โดยสูตรสำเร็จของเขาทำให้ทีมสิงห์น้ำเงินเป็นแชมป์ได้สองสมัยติดต่อกัน

และตัวอย่างทีมที่สามารถป้องกันแชมป์ได้อย่างแข็งแกร่งก็คือทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในยุคของเป็ป กวาดิโอล่าที่สามารถเป็นแชมป์ในปี 2017-2019 โดยมีลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยุคมูรินโญ่เป็นคู่ปรับคนสำคัญแต่พวกเขามักจะทำผลงานแซงได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาล 2017-2018 ที่สามารถทำแต้มได้เกิน 100 แต้ม และปี 2018-2019 ที่พวกเขานำลิเวอร์พูลในนัดสุดท้ายด้วยคะแนนเพียง 1 แต้มเท่านั้นพร้อมสถิติชนะรวดนับตั้งแต่แซงลิเวอร์พูลได้ในช่วงท้ายฤดูกาล

เรื่องราวของการป้องกันแชมป์ในปัจจุบันจะเป็นของลิเวอร์พูลที่นำโดยเจอร์เก้น คลอปป์เพราะพวกเขาคือแชมป์พรีเมียร์ลีกในปัจจุบันพร้อมทำตามฝันที่แฟนบอลรอคอยมาเป็นระยะเวลานาน แต่ทว่าคู่แข่งของพวกเขาในปีถัดมา น่าจะน่ากลัวมากขึ้น เพราะการมาของยอดกุนซือทั่วโลกได้มารวมตัวอยู่ที่อังกฤษเสมอ และต้องคอยดูกันว่าเส้นทางของลิเวอร์พูลจะเป็นเพียงชั่วคราวหรือครอบบัลลังค์ในลีกสูงสุดได้ต่อไปเป็นระยะเวลานาน สำหรับฤดูกาลหน้าหากคุณเป็นนักพนันด้วยแล้ว รับรองว่าเลือกข้างยาก และสนุกขึ้นแน่นอน

ซิตี้ 4 แชมป์ ความเป็นไปไม่ได้ที่อาจเป็นไปได้

“หนึ่งในคำถามที่ผมถูกถามบ่อยมากคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะมีโอกาสคว้าแชมป์ทั้ง 4 รายการได้มากแค่ไหน ซึ่งในฐานะผมเป็นคนของ ยูไนเต็ด ที่ก่อนหน้านี้ผมออกตัวมาตลอดว่าอยากเห็น ซิตี้ เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ดีกว่าให้ลิเวอร์พูลได้แชมป์แรก ตอนนี้ผมคงบอกได้แต่เพียงว่า บางทีผมอาจต้องยอมเลือกข้างใหม่เสียแล้ว” นี่คือคำกล่าว ไรอัน กิ๊กส์ ตำนานปีกพ่อมดของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

                ปัจจุบัน โปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลทั่วยุโรป ในฤดูกาล 2018/2019 ได้ดำเนินมาถึงช่วงท้ายฤดูกาลเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถือเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีฟอร์มการเล่นร้อนแรงมากที่สุดในยุโรป โดยก่อนหน้านี้พึ่งชนะสโมสร
 เชลซี ไป จนคว้าแชมป์ลีกคัพมาครองได้ในที่สุด และยังอยู่บนเส้นทางของการที่จะคว้าแชมป์ทุกรายการที่ลงแข่งขัน

                ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าเส้นทางแห่งการคว้าแชมป์จะโรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อล่าสุด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ตกรอบฟุตบอลถ้วย เอฟเอคัพ เป็นที่เรียบร้อย เท่ากับว่าเหล่าทีมชั้นนำทั้งหลายได้พากันตกรอบจนเหลือแค่ ซิตี้ ทีมเดียวที่เป็นทีมระดับตัวเต็งที่เหลืออยู่ในรายการนี้ แถมในเส้นทางรายการยุโรป ก็ยังโคจรมาเจอกับทีมรู้จักกันดี และไม่ถือว่าแข็งจนเกินไปอย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์

                แล้ว เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีโอกาสแค่ไหนในการที่จะพา ซิตี้ คว้า 4 แชมป์ได้ในฤดูกาลเดียว

                ถ้าตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ก็ต้องเรียนตามตรงว่าค่อนข้างยาก เนื่องจากอย่าว่าแต่ 4 แชมป์เลย แค่เพียง
ทริปเปิ้ลแชมป์ ก็ถือว่ายากมากแล้ว เพราะจากในอดีตที่ผ่านมามีสโมสรจากอังกฤษเพียงทีมเดียวที่เคยทำได้ นั่นคือ สโมสรคู่แข่งร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 1999 ซึ่งเวลาก็ได้ผ่านล่วงเลยมากว่า 20 ปี ยังไม่มีสโมสรไหนในประเทศที่สามารถทำลายสถิตินี้ได้เลย

                โดยเหตุผลที่ทำให้เป็นเรื่องยากลำบากในการที่จะทำลายสถิติคือจำนวนเกมการแข่งขัน ที่หากรายการบอลถ้วยยิ่งผ่านเข้ารอบลึกเท่าไหร่ ยิ่งต้องลงเล่นถี่ขึ้นในช่วงท้ายฤดูกาล ทำให้นักเตะเกิดอาการล้าและไม่สามารถโชว์ศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ แถมโดยเฉพาะในประเทศอังกฤษที่มีการแข่งขันให้เข้าร่วมได้ถึง 4 รายการ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะคุมผลการแข่งขันให้ออกมาตามแผนที่วางไว้

                แต่หากมองถึงในแง่ฟอร์มอันร้อนแรงของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั้น จะมีใครกล้าปฏิเสธว่าไม่มีโอกาสเป็นไปได้ เพราะตลอดการลงเล่นตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา ซิตี้ มีสถิติในการยิงประตูคู่แข่งเฉลี่ยทุกๆ 31 นาที คิดเป็นค่าเฉลี่ยการยิงประตูอยู่ที่
 2.9 ประตูต่อเกม โดยมีโอกาสยิงเฉลี่ยต่อเกม 17.7 ครั้ง และทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้การครองบอลเฉลี่ยถึง 63 เปอร์เซ็นต์ต่อเกม

                ฉะนั้น หากมองที่ฟอร์มการเล่นและสถิติในปัจจุบัน ก็ต้องถือว่ายังมีโอกาสที่ ซิตี้ อาจเป็นทีมแรกที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการฟุตบอลอังกฤษได้สำเร็จ ในทางกลับกันหากมองถึงอดีตที่เคยมีมา ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้น แต่ต้องไม่ลืมว่า  เรื่องที่ใครๆบอกว่ายาก กุนซือคนปัจจุบันอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็พึ่งทำสำเร็จมาแล้ว ด้วยการพา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกในวงการฟุตบอลอังกฤษ ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยคะแนนสูงถึง 100 คะแนน เมื่อฤดูกาลก่อน

โซลชา เซ้งรถบัสต่อจากน้ามูจริงหรอ

“ผู้จัดการทีมที่เข้ามาทำงานต่อจากผม เปลี่ยนสไตล์การเล่นฟุตบอลของทีมเป็นเน้นเกมรับแล้วรอสวนกลับ ผู้จัดการทีมที่เข้ามาหลังจากเขาก็เล่นในสไตล์เดียวกัน สิ่งที่ต่างกันระหว่างสองคนนี้มีเพียงแค่ โซลชา เก็บผลการแข่งขันได้ดีกว่าเท่านั้น แต่นี่เป็นเรื่องจริงที่ปัจจุบัน ยูไนเต็ด ไม่ได้เล่นในสไตล์ที่ เฟอร์กูสัน สร้างเอาไว้” นี่คือสิ่งที่ หลุยส์ ฟาน กัล อดีตกุนซือที่เคยร่วมงานกับสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ให้สัมภาษณ์ความเห็นกับสื่อถึงสไตล์การเล่นของทีมในปัจจุบัน

                ตลอดภายหลังการเข้ามาคุมทีมตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคม โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้เข้ามาสร้างปรากฏการณ์ต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการพาทีมกลับมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม บรรยากาศในทีมที่ดีขึ้น เหล่านักเตะต่างโชว์ศักยภาพในการเล่นได้ราวกับเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้ กล่าวได้ว่า โซลชา คือผู้ที่เข้ามานำพาสโมสรกลับมาสู่ทิศทางที่ควรจะเป็นอีกครั้ง

                แต่ถ้าย้อนกลับมาถามว่า สิ่งที่ตำนานกุนซือชาวดัตช์ได้กล่าวไว้ ผิดไปจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไหม ก็คงปฏิเสธไม่ได้ เนื่องจากเวลาเจอกับเหล่าทีมชั้นนำในประเทศและต่างประเทศ โซลชา มักจะวางแผนการเล่นที่เน้นรับต่ำและรอสวนกลับอย่างรวดเร็วโดยใช้จังหวะที่น้อยที่สุด อย่างที่ หลุยส์ ฟาน กัล ได้กล่าวไว้จริงๆ

ในทางกลับกัน นั่นก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด เพราะเวลาที่ ยูไนเต็ด เจอกับทีมที่เป็นรองกว่า ก็จะพบเห็นสไตล์การเล่นที่ดันแผงกองหลังสูงและครองบอลบุกใส่คู่แข่งอยู่เสมอโดยที่ไม่มีใส่เกียร์ถอยหลังแม้แต่นิดเดียว และถึงแม้เวลาเจอกับทีมที่มีระดับพอๆกัน ก็มักจะเร่งสปีดเกมสวนกลับอย่างรวดเร็ว ต่อบอลกันเพียงไม่กี่จังหวะก็ถึงหน้ากรอบประตูและพร้อมลงโทษคู่ต่อสู้ ซึ่งจะแตกต่างจากในยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือชาวโปรตุเกส ที่ถึงแม้จะเล่นเกมรับและสวนกลับเหมือนกัน แต่เวลาสวนกลับมักจะมีความเร็วที่ช้า จนทำให้ทีมฝ่ายตรงข้ามกลับไปประจำตำแหน่งในเกมรับกันได้ทันท่วงที

นอกจากที่กล่าวมา ยังสามารถยืนยันได้จากสถิติที่ตลอดการเข้ามาคุมทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา สามารถพาทีมพังตาข่ายคู่แข่งได้ทุกๆเฉลี่ยทุกๆ 38 นาที คิดเป็นค่าเฉลี่ยประตูต่อเกมอยู่ที่ 2.31 ประตู ในขณะที่ทางฝั่งของ มูรินโญ่ ในฤดูกาลนี้จะมีสถิติการพังประตูคู่แข่งเฉลี่ยทุกๆ 60 นาที หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยการทำประตูต่อเกมอยู่ที่ 1.5 ประตู

และหากมองในแง่ของเกมรับจะพบว่า ค่าเฉลี่ยการเสียประตูต่อเกมของโซลชานั้นอยู่ที่เพียง 0.69 ประตูต่อเกมเท่านั้น แตกต่างจากทางฟากฝั่งของ มูรินโญ่ ที่ตลอดการพาทีมลงแข่งขันในฤดูกาลนี้ มีสถิติการเสียประตูอยู่ที่ทุกๆ 61 นาที หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.46 ประตูต่อเกม

ดังนั้น หากจะกล่าวว่า โซลชา มีวิธีการทำทีมที่มีสไตล์การเล่นที่ไม่แตกต่างจากในยุคของ มูรินโญ่ ก็คงไม่ยุติธรรมต่อเจ้าตัวสักเท่าไหร่ และเช่นเดียวกัน วิธีการทำทีมของเขาก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับสไตล์การเล่นในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตผู้จัดการทีมระดับตำนานของสโมสร แต่สิ่งที่ทำให้เหล่าแฟนบอลรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เหมือนกับ ยูไนเต็ด ในอดีตนั้น อาจเป็นเพราะ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา รู้จักความหมายของสโมสรแห่งนี้ดีว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คืออะไร

2 คีย์แมนผู้เข้ามาปลุกหงส์แดงให้คืนชีพเป็นนกฟินิกซ์

จบกันไปสักพักแล้วสำหรับศึกการแข่งขันพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2018/2019 ก็ต้องบอกเลยว่าในซีซั่นนี้ค่อนข้างสูสีดุเดือด จนถึงวินาทีสุดท้ายเลยทีเดียว โดยท้ายที่สุดแล้วเป็นทางสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สามารถปักธงแห่งชัยชนะและคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ

แน่นอนว่าสำหรับเหล่าแฟนบอลของสโมสรหงส์แดง ลิเวอร์พูล ที่รอคอยแชมป์มายาวนานกว่า 29 ปี คงรู้สึกผิดหวังไปตาม ๆ กัน แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งการจบอันดับเป็นรองแชมป์ที่มีคะแนนสูงที่สุดในศึกฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษ ก็ถือเป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดีว่าสโมสรกำลังอยู่ในเส้นทางที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อีกครั้งเหมือนดั่งในอดีต โดยเราจะไม่ขอกล่าวถึงบรรดาเหล่านักเตะที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในฤดูกาลนี้ เพราะเชื่อว่าคงมีการพูดถึงกันเยอะแล้ว แต่วันนี้ VWIN จะพาเหล่าแฟนบอลไประลึกถึง 2 บุคคลสำคัญที่เข้ามาพลิกโฉมสโมสรกันดีกว่า

โครงสร้างสโมสรเปลี่ยนไปตั้งแต่ได้เจ้าของคนใหม่

ก็ต้องบอกเลยว่าในช่วงแรกตอนที่ จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ และ เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป ได้เข้ามาบริหาร แฟนบอลต่างไม่ได้รู้สึกดีมากนัก เพราะล้วนติดภาพของคู่หูเจ้าของกิจการชาวอเมริกันยุคก่อนที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อจากสโมสรมาโดยตลอด แต่พอเวลาผ่านไปด้วยวิธีการทำงานที่ค่อย ๆ เข้ามารื้อปัญหาอย่างตรงจุดและไม่รีบร้อนทำอะไรตามกระแส ทำให้สุดท้ายสโมสรก็เริ่มสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างมั่นคง

และจุดที่เชื่อว่าแฟนบอลจะเห็นตรงกันที่สุดนั่นก็คือ ความเชื่อมั่นที่มีต่อตัวผู้จัดการทีมและพร้อมทุ่มเงิน 75 ล้านปอนด์ให้กับกองหลังคนหนึ่งที่ไม่ได้มีชื่อเสียงระดับโลก แถมยังไม่มีการบีบบังคับหรือเร่งรีบให้หาตัวแทนมาแก้ขัดแบบขอไปที ทำให้สุดท้ายก็ได้จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญมาเติมเต็มให้สามารถก้าวขึ้นมาลุ้นแชมป์ได้สำเร็จ

ชายผู้ให้ความสำคัญที่คุณค่ามากกว่าเงินตรา เจอร์เก้น คล็อปป์

วินาทีแรกที่ก้าวเข้ามาดำรงตำแหน่งกุนซือของทางลิเวอร์พูล เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้กล่าวว่า “ผมได้รับการติดต่อจากหลาย ๆ ทีม แต่ไม่มีแผนงานไหนเลยที่จะทำให้ผมตื่นเต้นได้เท่ากับทาง ลิเวอร์พูล โอเคว่าถ้าผมไปทีมอื่นอาจจะมีโอกาสคว้าแชมป์ได้ง่ายกว่า แต่มันจะมีความสำคัญเท่ากับการปลุกสโมสรอย่างลิเวอร์พลูให้กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งไหมล่ะ”

ถึงจุดนี้เชื่อว่าแฟน ๆ ลิเวอร์พูลหลาย ๆ คนคงยิ้มไปตามกันหลังจากได้รู้ถึงบทสัมภาษณ์ โดยต้องยอมรับความจริงกันก่อนว่าในช่วงเวลานั้นทางสโมสรค่อนข้างจะมีข้อจำกัดในการเฟ้นหาผู้จัดการทีมเข้ามารับตำแหน่ง เพราะไม่สามารถนำเงินมาวางเพื่อล่อใจแก่เหล่าผู้จัดการทีมฝีมือฉกาจได้ ซึ่งต่างกับทาง เชลซี แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือแม้กระทั่งทีมคู้แค้นอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยสิ้นเชิง แต่ทางคล็อปป์เองกลับไม่นำเรื่องดังกล่าวมาคิดแม้แต่นิดเดียว ทั้งที่ในขณะนั้นเจ้าตัวก็ได้รับการทาบทามจากเหล่าสโมสรยักษ์ใหญ่มากมายทั่วทั้งยุโรป จนสุดท้ายได้กลายมาเป็นกำลังสำคัญให้สโมสรคืนชีพและกลับมาผลงานได้อย่างโดดเด่นจนกลายเป็นทีมอันดับต้น ๆ ของโลก

แน่นอนว่านักเตะก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมที่ผลงานที่ดีอยู่ในตอนนี้ แต่หากพูดกันตรง ๆ ก็คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งสองคนที่เรากล่าวมา คือกุญแจสำคัญที่เข้ามาปลดล็อกให้ทางสโมสรกลับมาโบยบินอย่างยิ่งใหญ่เพื่อรอวันที่จะคืนสู่บัลลังก์จุดสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษอีกครั้ง

ภารกิจการผ่าตัดทีมครั้งใหญ่ของ ยูไนเต็ด

มีพบเจอก็ต้องมีลาจาก เมื่อบรรดาสโมสรทั้งหลายต่างจำเป็นต้องปลดระวางนักเตะบางคนออกจากทีม โดยถึงแม้จะมีความผูกพันกับเหล่านักเตะมากเพียงใด ก็จำต้องปล่อยให้นักเตะเหล่านั้นเดินจากไปเพื่อให้สโมสรสามารถเดินหน้าคว้าความสำเร็จต่อไปได้ เปรียบได้กับยานพาหนะที่เมื่อถึงเวลาต้องได้รับการบำรุงรักษา อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายอะไหล่ของเก่าออกไปบ้าง และนำของใหม่มาใส่เพื่อให้กลับมาขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อีกครั้ง

                เมื่อหันมามองที่สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ล่าสุดได้ประกาศแต่งตั้ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการ ภายหลังการทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในตอนได้รับโอกาสเข้ามาคุมทีมชั่วคราว ซึ่งหาก โซลชา ต้องการพาทีมเดินหน้าเพื่อท้าทายความสำเร็จ อาจจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนถ่ายนักเตะบางรายที่ไม่อยู่ในแผนงานที่วางไว้ในอนาคต เพื่อเปิดทางให้เหล่าบรรดานักเตะใหม่ได้เข้ามาสู่สโมสร

แล้วนักเตะรายใดบ้าง ที่เข้าข่ายในการที่สโมสรจำเป็นที่จะต้องถ่ายเลือดเก่าออกจากทีม

                มาร์กอส โรโฮ ปราการหลังชาวอาร์เจนตินา ที่อดีตผู้จัดการทีมอย่าง หลุยส์ ฟาน กัล ซื้อเข้ามาเพื่อใช้งานเป็นตัวหลักในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็คฝั่งซ้าย โดยได้ลงสนามอย่างต่อเนื่องมาจนถึงในช่วงแรกๆของยุคกุนซือ โชเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งโดยรวมแล้วถือว่าทำผลงานได้ค่อนข้างดีเสมอเมื่อได้รับโอกาส แต่ติดปัญหาที่ว่า ปราการหลังรายนี้มักจะประสบปัญหาอาการบาดเจ็บอยู่เสมอ ทำให้ไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างต่อเนื่อง และหากมองไปที่สถิติในการลงสนามจะพบว่า  มีโอกาสลงเล่นรวมกันทั้งสิ้นไม่ถึง 50 นัดตลอด 4 ฤดูกาลหลังสุด

                มัตเตโอ ดาร์เมียน แบ็คขวาชาวอิตาลี ผู้ที่ภายหลังการลงสนามในช่วงแรก แฟนบอลต่างขนานนามว่า เขาคือ

แกรี่ เนวิลล์ คนใหม่แห่งยูไนเต็ด แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นาน กลับประสบปัญหาไม่สามารถปรับตัวเข้ากับลีกอังกฤษได้เลย จนส่งผลให้มักจะถูกเลือกเป็นตัวสำรองอยู่เสมอ โดยตลอดการลงเล่นให้กับสโมสร ดาร์เมียน มีสถิติการลงเล่นรวมกัน 4 ฤดูกาลไม่ถึง 50 นัด เช่นเดียวกับในรายของ มาร์กอส โรโฮ

                อันโตนิโอ วาเลนเซีย หนึ่งในมรดกที่ตกทอดมาจากยุคสมัยที่รุ่งเรืองของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตตำนานผู้จัดการทีมของสโมสร โดยในกรณีของ วาเลนเซีย นั้น สัญญากับสโมสรจะหมดลงเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลนี้ และจากการที่เจ้าตัวอยู่ในวัยที่โรยราแล้ว ทำให้ทาง โซลชา น่าจะถือโอกาสในการถ่ายเลือดเก่า และดันดาวรุ่งอย่าง ดีโอโก้ ดาล็อต สลับกับทาง แอชลีย์ ยัง ที่พึ่งได้รับการต่อสัญญาไปมากกว่า

                อเล็กซิส ซานเชซ ปีกซ้ายที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงที่สุดของสโมสร ที่ตอนแรกสโมสรหวังซื้อเพื่อตัดหน้าคู่แข่งอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาในเกมรุกของทีม แต่ปรากฏว่า นี่ไม่ใช่ อเล็กซิส ซานเชซ คนเดิมที่เหล่าแฟนบอลเคยรู้จัก เมื่อพบว่าปัจจุบัน ดาวเตะรายนี้ทำผลงานได้น่าผิดหวังมากที่สุดคนหนึ่งของทีมในขณะนี้

                โดยทั้งหมดที่กล่าวมา ยังไม่รวมถึงในรายของ ฆวน มาต้า หรือ อันเดร์ เอร์เรร่า ที่สัญญากับสโมสรใกล้จะหมดลงในเร็ววัน ฉะนั้นแล้ว สโมสรควรดำเนินการตัดสินใจให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้เตรียมพื้นที่ว่างสำหรับเฟ้นหานักเตะที่จะเข้ามาเติมเต็มศักยภาพของทีม และพา ยูไนเต็ด กลับมาสู่เส้นทางความสำเร็จอีกครั้ง