การแข่งขันฟุตบอลรายการพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เป็นการแข่งขันฟุตบอลลีกที่เรียกได้ว่าโด่งดังและมีชื่อเสียงที่สุดสำหรับแฟนบอลในประเทศไทย สำหรับฤดูกาลล่าสุดในปี 2018 – 2019 นี้ เรียกได้ว่านับวันยิ่งจะทวีความเข้มข้นในการขับเคี่ยวลุ้นแชมป์กันมากขึ้นเรื่อย ยิ่งในปีที่จะถึงนี้ ที่เพิ่งจะจบการแข่งขันฟุตบอลโลกล่าสุดที่ประเทศรัสเซีย 2018 มาหมาด ๆ ก็ยิ่งจะทำให้อารมณ์ ความอิน และความต้องการเสพฟุตบอลของแฟน ๆ ยังอยู่ในใจต่อเนื่อง ดังนั้น สำหรับพรีเมียร์ลีกอังกฤษที่เพิ่งเริ่มเปิดฉากแข่งขันไปนั้น จะมีทีมสโมสรไหนบ้างที่จะถือว่าเป็นตัวเก็ง มีสิทธิจะลุ้นคว้าแชมป์ไปครองในที่สุด ลองไปชมกันหน่อย

2 ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์

เหมือนกับทุกฤดูกาลของพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ที่นับย้อนไป 6-7 ปีที่ผ่านมา เมืองแมนเชสเตอร์ที่ขึ้นชื่อเรื่องฟุตบอลอันดับหนึ่งของประเทศ ส่ง 2 ทีมยักษ์เข้าประกวดเช่นเคย ทีมแรกคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือเรือใบสีฟ้า แชมป์เก่าจากปีที่แล้วนั่นเอง แน่นอนว่าแชมป์เก่าก็ต้องป้องกันแชมป์เป็นธรรมดา แต่ว่าสำหรับลูกทีมของกวาดิโอล่าแล้ว แนวโน้มของความแรงนับว่าแรงขึ้นทุกปีตั้งแต่ปีแรกที่วืดแชมป์ จนปีที่แล้วได้แชมป์ จนมาถึงปีนี้ ทุกฝ่ายต่างมองเห็นว่าการเล่นเป็นระบบสวยงาม และความดุดันยิ่งมากขึ้น ๆ เมื่อนักเตะเข้าใจปรัชญาของโค้ช
ส่วนอีกทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือผีแดง ทีมขวัญใจเบอร์หนึ่งของแฟนบอลไทยนั่นเอง สาเหตุก็เพราะว่าในปีที่แล้วพวกเค้าพลาดแชมป์แบบหมดลุคดูไม่จืด ไม่ได้แชมป์ใด ๆ เลย หัวเรืออย่างมูริญโญ่จึงไม่อยู่เฉยแน่ ๆ ในฐานะจอมวางแผนและแก้เกมมือหนึ่ง จึงนับว่าน่าติดตามมาก

หงส์แดงและสิงโตน้ำเงิน

ปีนี้ไม่ต้องตกใจที่มีชื่อของหงส์แดง ลิเวอร์พูลมาเกี่ยวข้องด้วย เพราะว่าปีที่ผ่านมาพวกเค้าแสดงให้โลกเห็นแล้วว่า เมื่อเกมรุกที่จัดจ้านสมชื่อเครื่องจักรสีแดงคืนชีพ ด้วยมนต์ตราของเทพเจ้าซาลาห์ที่โด่งดังไปทั่วยุโรปในปีเดียว เริ่มทำงานเมื่อไหร่ ก็แทบจะไม่มีทีมไหนรอดจากการเสียประตูได้ ส่วนเกมรับกับนายทวารจุดอ่อนมาตอนนี้พวกเค้าแก้ไขด้วยการซื้อของดีราคาแพงมาอุดแล้ว จึงหมดปัญหา
ส่วนทางด้านทีมใหญ่อย่างเชลซีก็เข้าตำราเดิม ทีมสิงโตน้ำเงินครามตัดสินใจเปลี่ยนโค้ชใหม่อีกครั้ง เป็นซาร์รี่จาก นาโปลี ก็เรียกได้ว่าปรัชญาการเล่นเปลี่ยนอีก และเดาทางไม่ออกอีกครั้ง จึงตัดพวกเค้าออกไม่ได้แน่ ๆ

ทั้ง 4 ทีมนี้จัดว่าเป็นทีมที่ฟันธงได้เลยว่า จะต้องลุ้นแชมป์กันอย่างขับเคี่ยวสูสีไปจนถึงนัดท้าย ๆ เพราะคุณภาพและความสดใหม่ในด้านทรัพยากรของทุกสโมสร จึงเรียกว่าแฟนบอลอดใจรอกันให้มีการแข่งขันไม่ไหวแล้วแน่