Tag: พรีเมียร์ลีก (page 1 of 1)

นอริช ซิตี้ นกขมิ้นสีเหลืองกับฉายาขาประจำจอมตกชั้น

ในการแข่งขันที่มีทั้งความสมหวังและผิดหวัง ในการแข่งตลอดฤดูกาลเมื่อจบนัดที่ 38 ของพรีเมียร์ลีกแล้วก็มีจะทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ในตาราง ซึ่งสามทีมที่อยู่ท้ายตารางก็จะต้องตกชั้นลงไปเล่นในลีกรองอย่างแชมเปียนส์ชิพ โดยตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีทั้งทีมใหญ่ที่พลิกตกชั้นไปอย่างน่าเสียดายทั้งแบล็คเบิร์น โรเวอร์หรือลีดส์ ยูไนเต็ดที่เคยเป็นถึงอดีตแชมป์ลีกสูงสุด และทีมขาประจำที่คอยเลื่อนชั้นตกชั้นอยู่ตลอดเวลาเช่น นอริช ซิตี้ เจ้าของฉายานกขมิ้นสีเหลืองนั่นเอง โดยที่การเลื่อนชั้นของพวกเขาเกิดขึ้นทั้งหมด 5 ครั้ง แต่ทว่าการตกชั้นของพวกเขากลับมีจำนวนมากกว่าเสียอีก เรียกว่าเป็นทีมขาประจำที่คอยเป็นน้องใหม่หน้าเก่าเสมอในลีกสูงสุดของอังกฤษ

การเลื่อนชั้นของพวกเขา

การเลื่อนของเขาครั้งแรกเกิดขึ้นในฤดูกาล 2004-2005 ซึ่งเป็นถือเป็นทีมหน้าใหม่ในพรีเมียร์ลีกเป็นอย่างมากในเวลานั้น เพราะเป็นเวลาเกือบสิบปีที่พวกเขาต้องตกชั้นลงไป พร้อมกับสถิติที่ไม่น่าจดจำอย่างการที่พวกเขาไม่สามารถคว้าชัยนอกบ้านของพวกเขาได้เลยสักนัดเดียว และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงทำได้แค่อันดับที่ 19 หลังจากจบฤดูกาลไป และพวกเขาต้องรออีกถึง 7 ปีจนกระทั่งก้าวขึ้นมาสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งนึง โดยในระหว่างนั้นพวกเขาต้องลงไปเล่นในลีกลำดับที่ 3 ก่อนจะเลื่อนชั้นกลับขึ้นในแชมเปียนส์ชิพอีกครั้งและใช้เวลาอีก 2 จนกลับมาสู่ลีกสูงสุดในปี 2011 ลงแข่งขันได้นานถึง 3 ฤดูกาลก่อนจะที่ในปี 2015 พวกเขาจะลงไปเล่นในแชมเปียนส์ชิพเหมือนเดิม แต่ทีมนกขมิ้นก็ไม่ต้องบินต่ำอยู่นาน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะจบฤดูกาลด้วยลำดับที่ 3 ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเลื่อนชั้นแบบอัตโนมัติ พวกเขาทำได้เพียงไปแข่งเพลย์ออฟต่อแต่นอริชก็สามารถปราบทีมอิปส์วิช ทาวน์และมิดเดิ้ลส์โบห์จนคว้าตำแหน่งแชมป์เพลย์ออฟและก้าวขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกอันเป็นที่รักของเขาได้อีกครั้ง

และการเลื่อนชั้นครั้งสุดท้ายของเขาถือว่าเป็นครั้งที่สวยงามที่สุดของสโมสร เพราะพวกเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกแชมเปียนส์ชิพได้สำเร็จโดยทำไปได้ถึง 94 แต้มจาก 46 นัด เรียกว่าเหล่านักพนันยิ้มแก้มปริ เพราะลงแข่งในลีกรองเป็นประจำจนประสบความสำเร็จ วางเดิมพันอย่างไรก็ชนะทุกทีเลยทีเดียว

การตกชั้นของพวกเขา

มีพบก็ต้องมีจาก แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเลื่อนได้บ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่พวกเขากลับไม่เคยอยู่ในพรีเมียร์ลีกได้นานเกิน 4 ฤดูกาลเลย หลังจากที่ตกชั้นครั้งแรกในพรีเมียร์ลีกในปี 1995 ซึ่งในสมัยนั้นยังมีทีมลงแข่งทั้งหมด 22 ทีม และพวกเขาจบด้วยอันดับที่ 20 และต้องตกชั้นไปพร้อม ๆ กับคริสตัล พาเลซ เลสเตอร์ ซิตี้และอิปส์วิช ทาวน์ ก่อนที่จะต้องรอเป็นเกือบ 10 ปีเพื่อที่จะกลับขึ้นชั้นอีกครั้ง แต่ทว่าในฤดูกาลถัดมานอริชกลับทำได้แค่ 33 แต้มซึ่งน้อยกว่าทีมที่รอดตกชั้นเพียงแต้มเดียวและน่าเสียใจไปกว่านั้นคือก่อนลงแข่งนัดสุดท้ายพวกเขาอยู่อันดับที่ 17 โซนปลอดภัยแต่กลับไม่สามารถออกไปแพ้ฟูแล่มถึง 6-0 จนต้องยอมรับชะตากรรมไป แต่เรื่องน่าเศร้าของพวกเขายังไม่จบหลังจากที่เมาหมัดอยู่ในแชมเปียนส์ชิพอยู่ 4 ปี พวกเขาก็ต้องตกชั้นไปอยู่ลีกวัน ซึ่งเป็นลีกลำดับที่สามของประเทศอังกฤษ ก่อนจะใช้เวลาไม่นานจนกลับมาสู่พรีเมียร์ลีกในที่สุด

เรียกว่านอริชยุคใหม่ทำได้ดีมากขึ้นเมื่อพวกเขายังลองเล่นในพรีเมียร์ลีกได้นานถึง 3 ฤดูกาลก่อนจะพลาดท่าตกชั้นอีกครั้งในปี 2014 แล้วกลับขึ้นมาใหม่ในปี 2015 แล้วตกกลับลงไปอีกครั้งด้วยอันดับ 19 ของตาราง ก่อนจะขอปิดท้ายสด ๆ ร้อน ๆ ในปี 2020 ที่พวกเขาจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 20 ครองตำแหน่งสุดท้ายของตารางแม้จะเป็นปีที่แจ้งเกิดของกองหน้าอย่างปุ๊กกี้ก็ตาม

น่าเสียดายที่ทีมนกขมิ้นสีเหลืองกลับไม่สามารถรักษามาตรฐานของตัวเองจนไม่อาจจะอยู่ในลีกสูงสุดได้เป็นเวลานาน แต่เชื่อได้เลยว่าด้วยประสบการณ์ของพวกเขาจะทำให้แฟนบอลคงไม่ต้องคอยรอนานที่จะได้เห็นทีมเขียวเหลืองนี้กลับมาแข่งในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง และหวังว่าคราวนี้พวกเขาจะกลายเป็นขาประจำในลีกสูงสุดเสียที

30 ปีของลิเวอร์พูล จากวันที่ไปยุโรปก็พอแล้วสู่ผู้นำที่แท้จริง

ถ้ามีลูกตั้งแต่วันที่ทีมหงส์แดงเป็นแชมป์ครั้งสุดท้าย ตอนนี้เด็กคนนั้นก็ต้องทำงานหรือมีครอบครัวไปแล้ว นั่นคือระยะเวลานานกว่า 30 ปีที่ลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ลีกสูงสุดในช่วงที่พรีเมียร์ลีกยังไม่เคยเกิดขึ้น โดยช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นพวกเขาต่างเฝ้ารอความสำเร็จในประเทศตัวเองมาตลอด และต้องอยู่ใต้ร่มเงาของคู่ปรับอย่างปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเป็นระยะเวลานาน จนกระทั่งช่วงนึงที่พวกเขาขอแค่ทำอันดับไปแข่งยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกให้ได้ก็พอ ก่อนที่การมาของผู้จัดการทีมชาวเยอรมันอย่าง เจอร์เก้น คลอปป์ที่ทำให้พวกเขาไปถึงฝั่งฝันได้สำเร็จอย่างสวยงาม

ช่วงตกต่ำของทีม

นับตั้งแต่วันที่ลิเวอร์พูลทีผู้จัดการทีมที่ชื่อว่าเคนนี่ ดัลกลิช ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่พาทีมคว้าแชมป์ได้สำเร็จ พวกเขาก็เปลี่ยนตัวโค้ชมาหลายต่อหลายคนทั้งแกรม ซูเนส รอย อีแวนส์ไปจนถึงราฟาเอล เบนิเตซ จนครั้งนึงที่คิงเคนนี่ต้องกลับมาคุมทีมอีกครั้ง แต่นั่นก็ไม่สามารถทำให้ทีมคว้าแชมป์ได้อีกเลย โดยเฉพาะช่วงปี 2003 ของเชอร์ราด์ อูลิเยร์ที่พวกเขาต้องพลาดการไปเล่นรายการยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกส์ด้วยซ้ำเพราะพวกเขาจบฤดูกาลในอันดับที่ 5 และจากการแพ้ต่อเชลซีในนัดสุดท้ายไปอย่างน่าเสียดาย

ก่อนที่เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นซ้ำอีกเมื่อฤดูกาลสุดท้ายของราฟาเอล เบนิเตซที่ความมหัศจรรย์สมัยที่เขาพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกได้หมดลงไปแล้ว ทำให้เขาทำอันดับได้แค่ที่ 7 ก่อนที่รอย ฮอดจ์สันและเคนนี่ ดัลกริชจะมารับช่วงต่อ แต่ทีมก็ยังไม่สามารถกลับไปลงแข่งในรายการใหญ่ประจำทวีปยุโรปได้เสียที จนกระทั่งการมาของเบรเดน รอดเจอร์ส ที่เกือบทำให้พวกเขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จหากว่าพวกเขาไม่พลาดในช่วงสี่นัดสุดท้ายของฤดูกาลและทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ตกเป็นรองมาตลอดเกือบทั้งซีซั่น ปาดหน้าคว้าแชมป์ไปแบบน่าเจ็บใจ

การมาของเจอร์เก้น คลอปป์

ฝันร้ายของลิเวอร์พูลต้องใช้เวลารักษาอยู่นานพอควร เพราะว่าการมาของกุนซือชาวเยอรมันไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงทีมได้ในช่วงข้ามคืนแต่พวกเขาก็มีความหวังมากขึ้น เพราะในฤดูกาลแรกที่เขาลงแข่งก็สามารถไปถึงรอบชิงชนะเลิศในรายการยูฟ่า ยูโรป้าคัพแต่พวกเขากลับต้องพ่ายแพ้ต่อเซบีย่าไป 3-1 จนเป็นได้แค่รองแชมป์เท่านั้น ก่อนที่ฝันร้ายของเขาจะยังไม่จบเมื่อปีต่อมาก็ทำได้เพียงเป็นรองแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกในแมตช์ที่ผู้รักษาประตูอย่างคาริอุสจะต้องจดจำไปอีกนาน และแล้วความสำเร็จของนายใหญ่ชาวเยอรมันก็มาถึงเมื่อในฤดูกาล 2018-2019 พวกเขาสามารถเอาชนะท็อตแนม ฮอสเปอร์จนคว้าแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรปไปได้เป็นสมัยที่ 6 แม้ว่าในฤดูกาลเดียวกันพวกเขาจะพลาดท่าเป็นได้แค่รองแชมป์พรีเมียร์ลีกเท่านั้น โดยมีแต้มห่างจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้แค่เพียง 1 คะแนนเท่านั้น แต้มห่างแค่นี้เรียกว่านักพนันทีมแชมป์มีทั้งยิ้มและโกรธเคืองเลยทีเดียว

แต่แล้วการรอคอยของเดอะ ค็อปก็จบลงเมื่อฤดูกาล 2019-2020 พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้สำเร็จจากมาตรฐานที่แข็งแกร่งของพวกเขาที่แพ้แค่ 3 นัดและเก็บไปได้ถึง 99 แต้ม เป็นทีมอันดับหนึ่งแบบรวดเดียวจบได้อย่างสมศักดิ์ศรีและชื่อของเจอร์เก้น คล็อปป์จะถูกจดจำไปอีกนานเลยทีเดียว

แม้ว่าการฉลองของพวกเขาจะจืดชืดกว่าทุกปีเนื่องจากสถานการณ์ในโลกปัจจุบันที่ยังมีโรคระบาดไปแทบทุกพื้นที่ และฤดูกาลจะต้องแข่งขันกันนานกว่าปกติ เพราะมีการพักไปกว่า 3 เดือน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้แฟนของลิเวอร์พูลจะต้องเสียใจอะไร เพราะถ้วยสำคัญที่พวกเขาห่างเหินมานานได้มาสู่อ้อมกอดของเขาแล้ว และก้าวต่อไปของเขาก็คือจะทำอย่างไรถึงจะกลับมาคว้าแชมป์แบบนี้ได้อีกครั้ง ซึ่งในอนาคตอาจจะเป็นชื่อของทีมลิเวอร์พูลอีกครั้งที่เป็นผู้นำในฐานะสโมสรที่คว้าแชมป์ลีกได้มากที่สุดบนเกาะอังกฤษ

พัฒนาการของชายที่ชื่อ ปอล ป็อกบา

หากนับจากปฏิทินปี 2019 ปอล ป็อกบา ดาวเตะชาวฝรั่งเศส กองกลางของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือเป็นหนึ่งใน
นักเตะที่มีฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งของยุโรป ซึ่งช่างแตกต่างราวฟ้ากับดินเมื่อเทียบกับฟอร์มการเล่นก่อนหน้า ที่ในขณะนั้นยังโดนกระแสแฟนบอลโจมตีทางจากทั่วทุกสารทิศ จนถึงขนาดเรียกร้องให้สโมสรปล่อยตัวดาวเตะรายนี้ออกจากทีมโดยเร็วที่สุด

                ด้วยสไตล์การเล่นที่ไม่ค่อยช่วยเหลือทีมในเรื่องของเกมรับ และการแสดงออกที่ดูไม่มีความทุ่มเทและมุ่งมั่นมากเท่าที่ควร  รวมถึงสิ่งที่สื่อหลายสำนักได้เปิดเผยว่า เจ้าตัวทำตัวมีปัญหากับผู้จัดการทีม จนถึงขั้นเคยมีคลิปหลุดออกมาให้เหล่าแฟนบอลได้เห็น ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่มีกระแสดังกล่าวเกิดขึ้น

                แต่ภายหลังเมื่อสงครามภายในจบลง และเป็นฝ่ายผู้จัดการทีมอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือชาวโปรตุเกส ที่เป็นผู้พ่ายแพ้ไป ปอล ป็อกบา ก็ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั้งในและนอกสนามไปเป็นคนละคน เมื่อสโมสรได้ประกาศแต่งตั้ง
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ตำนานกองหน้าของสโมสร ผู้เป็นโค้ชฝึกสอนให้กับ ป็อกบา ในอดีตเมื่อสมัยอยู่ในทีมเยาวชน เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีม

                ซึ่งพอได้กลับมาร่วมงานกลับกุนซือที่รู้ใจ ก็ส่งผลให้ ปอล ป็อกบา กลับมามีผลงานการเล่นที่โดดเด่น มีความทุ่มเทและมุ่งมั่นให้กับสโมสร จนกลายเป็นศูนย์กลางการสร้างทีมของผู้จัดการทีมคนใหม่ทันที กลบกระแสแฟนบอลและนักวิเคราะห์ที่คอยวิจารณ์ผลงานและการแสดงออกของเจ้าตัวได้อย่างสิ้นเชิง

                จากสถิติการเล่นของเจ้าตัวในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก ป็อกบา มีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูเฉลี่ยอยู่ที่ 0.45 ประตูต่อเกม โดยมีโอกาสยิงต่อเกมเฉลี่ย 2.93 ครั้ง จ่ายสร้างสรรค์โอกาส 1.63 ครั้ง และสกัดบอลคู่แข่งสำเร็จเฉลี่ย 1.07 ครั้งต่อเกม แต่พอภายหลังการเข้ามาคุมทีมของโซลชา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เหมือนได้นักเตะใหม่เข้ามาด้วย เมื่อปอล ป็อกบา ได้สร้างผลงานอย่างเหลือเชื่อ โดยมีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูในทุกๆ 78 นาที คิดเป็นค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.15 ประตูต่อเกม มีโอกาสยิงต่อเกมสูงถึง 3.56 ครั้ง ผ่านบอลสร้างสรรค์โอกาส 1.86 ครั้ง และสกัดบอลคู่แข่งสำเร็จ 1.86 ครั้งต่อเกม เรียกได้ว่าภายหลังการเข้ามาของผู้จัดการทีมคู่ใจ ป็อกบา ได้กลายเป็นหนึ่งในกองกลางที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดในยุโรปทันที

                โดยจากผลงานการเล่นที่โดดเด่นขนาดนี้ ทำให้ดาวเตะชาวฝรั่งเศส ตกเป็นเป้าหมายการเสริมทัพของเหล่าทีมชั้นนำทั่วยุโรปไม่ว่าจะเป็นการแย่งตัวกันระหว่างสโมสรคู่แค้นอย่าง บาร์เซโลน่า กับ เรอัล มาดริด ภายใต้กุนซือคนใหม่หน้าเดิมที่เป็นคนบ้านเดียวกันอย่าง ซีเนดีน ซีดาน หรือแม้กระทั่งทีมเก่าอย่าง ยูเวนตุส ก็ยังต้องการตัวกลับไปร่วมทีม

                ตอนนี้สถานการณ์ได้กลับกันเป็นที่เรียบร้อย จากที่กองกลางตัวตัดผมรายนี้เคยไม่เป็นที่ต้องการของเหล่าแฟนบอล ยูไนเต็ด กลับกลายเป็นว่า บรรดาแฟนบอลของสโมสรได้แต่ภาวนาให้ ปอล ป็อกบา ไม่ขอย้ายทีมและฝากอนาคตกับสโมสรในระยะยาว เพื่อพาสโมสรกลับไปอยู่ในจุดที่เคยยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

ซิตี้ 4 แชมป์ ความเป็นไปไม่ได้ที่อาจเป็นไปได้

“หนึ่งในคำถามที่ผมถูกถามบ่อยมากคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะมีโอกาสคว้าแชมป์ทั้ง 4 รายการได้มากแค่ไหน ซึ่งในฐานะผมเป็นคนของ ยูไนเต็ด ที่ก่อนหน้านี้ผมออกตัวมาตลอดว่าอยากเห็น ซิตี้ เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ดีกว่าให้ลิเวอร์พูลได้แชมป์แรก ตอนนี้ผมคงบอกได้แต่เพียงว่า บางทีผมอาจต้องยอมเลือกข้างใหม่เสียแล้ว” นี่คือคำกล่าว ไรอัน กิ๊กส์ ตำนานปีกพ่อมดของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

                ปัจจุบัน โปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลทั่วยุโรป ในฤดูกาล 2018/2019 ได้ดำเนินมาถึงช่วงท้ายฤดูกาลเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถือเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีฟอร์มการเล่นร้อนแรงมากที่สุดในยุโรป โดยก่อนหน้านี้พึ่งชนะสโมสร
 เชลซี ไป จนคว้าแชมป์ลีกคัพมาครองได้ในที่สุด และยังอยู่บนเส้นทางของการที่จะคว้าแชมป์ทุกรายการที่ลงแข่งขัน

                ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าเส้นทางแห่งการคว้าแชมป์จะโรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อล่าสุด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ตกรอบฟุตบอลถ้วย เอฟเอคัพ เป็นที่เรียบร้อย เท่ากับว่าเหล่าทีมชั้นนำทั้งหลายได้พากันตกรอบจนเหลือแค่ ซิตี้ ทีมเดียวที่เป็นทีมระดับตัวเต็งที่เหลืออยู่ในรายการนี้ แถมในเส้นทางรายการยุโรป ก็ยังโคจรมาเจอกับทีมรู้จักกันดี และไม่ถือว่าแข็งจนเกินไปอย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์

                แล้ว เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีโอกาสแค่ไหนในการที่จะพา ซิตี้ คว้า 4 แชมป์ได้ในฤดูกาลเดียว

                ถ้าตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ก็ต้องเรียนตามตรงว่าค่อนข้างยาก เนื่องจากอย่าว่าแต่ 4 แชมป์เลย แค่เพียง
ทริปเปิ้ลแชมป์ ก็ถือว่ายากมากแล้ว เพราะจากในอดีตที่ผ่านมามีสโมสรจากอังกฤษเพียงทีมเดียวที่เคยทำได้ นั่นคือ สโมสรคู่แข่งร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 1999 ซึ่งเวลาก็ได้ผ่านล่วงเลยมากว่า 20 ปี ยังไม่มีสโมสรไหนในประเทศที่สามารถทำลายสถิตินี้ได้เลย

                โดยเหตุผลที่ทำให้เป็นเรื่องยากลำบากในการที่จะทำลายสถิติคือจำนวนเกมการแข่งขัน ที่หากรายการบอลถ้วยยิ่งผ่านเข้ารอบลึกเท่าไหร่ ยิ่งต้องลงเล่นถี่ขึ้นในช่วงท้ายฤดูกาล ทำให้นักเตะเกิดอาการล้าและไม่สามารถโชว์ศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ แถมโดยเฉพาะในประเทศอังกฤษที่มีการแข่งขันให้เข้าร่วมได้ถึง 4 รายการ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะคุมผลการแข่งขันให้ออกมาตามแผนที่วางไว้

                แต่หากมองถึงในแง่ฟอร์มอันร้อนแรงของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั้น จะมีใครกล้าปฏิเสธว่าไม่มีโอกาสเป็นไปได้ เพราะตลอดการลงเล่นตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา ซิตี้ มีสถิติในการยิงประตูคู่แข่งเฉลี่ยทุกๆ 31 นาที คิดเป็นค่าเฉลี่ยการยิงประตูอยู่ที่
 2.9 ประตูต่อเกม โดยมีโอกาสยิงเฉลี่ยต่อเกม 17.7 ครั้ง และทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้การครองบอลเฉลี่ยถึง 63 เปอร์เซ็นต์ต่อเกม

                ฉะนั้น หากมองที่ฟอร์มการเล่นและสถิติในปัจจุบัน ก็ต้องถือว่ายังมีโอกาสที่ ซิตี้ อาจเป็นทีมแรกที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการฟุตบอลอังกฤษได้สำเร็จ ในทางกลับกันหากมองถึงอดีตที่เคยมีมา ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้น แต่ต้องไม่ลืมว่า  เรื่องที่ใครๆบอกว่ายาก กุนซือคนปัจจุบันอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็พึ่งทำสำเร็จมาแล้ว ด้วยการพา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกในวงการฟุตบอลอังกฤษ ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยคะแนนสูงถึง 100 คะแนน เมื่อฤดูกาลก่อน

2 คีย์แมนผู้เข้ามาปลุกหงส์แดงให้คืนชีพเป็นนกฟินิกซ์

จบกันไปสักพักแล้วสำหรับศึกการแข่งขันพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2018/2019 ก็ต้องบอกเลยว่าในซีซั่นนี้ค่อนข้างสูสีดุเดือด จนถึงวินาทีสุดท้ายเลยทีเดียว โดยท้ายที่สุดแล้วเป็นทางสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สามารถปักธงแห่งชัยชนะและคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ

แน่นอนว่าสำหรับเหล่าแฟนบอลของสโมสรหงส์แดง ลิเวอร์พูล ที่รอคอยแชมป์มายาวนานกว่า 29 ปี คงรู้สึกผิดหวังไปตาม ๆ กัน แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งการจบอันดับเป็นรองแชมป์ที่มีคะแนนสูงที่สุดในศึกฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษ ก็ถือเป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดีว่าสโมสรกำลังอยู่ในเส้นทางที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อีกครั้งเหมือนดั่งในอดีต โดยเราจะไม่ขอกล่าวถึงบรรดาเหล่านักเตะที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในฤดูกาลนี้ เพราะเชื่อว่าคงมีการพูดถึงกันเยอะแล้ว แต่วันนี้ VWIN จะพาเหล่าแฟนบอลไประลึกถึง 2 บุคคลสำคัญที่เข้ามาพลิกโฉมสโมสรกันดีกว่า

โครงสร้างสโมสรเปลี่ยนไปตั้งแต่ได้เจ้าของคนใหม่

ก็ต้องบอกเลยว่าในช่วงแรกตอนที่ จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ และ เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป ได้เข้ามาบริหาร แฟนบอลต่างไม่ได้รู้สึกดีมากนัก เพราะล้วนติดภาพของคู่หูเจ้าของกิจการชาวอเมริกันยุคก่อนที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อจากสโมสรมาโดยตลอด แต่พอเวลาผ่านไปด้วยวิธีการทำงานที่ค่อย ๆ เข้ามารื้อปัญหาอย่างตรงจุดและไม่รีบร้อนทำอะไรตามกระแส ทำให้สุดท้ายสโมสรก็เริ่มสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างมั่นคง

และจุดที่เชื่อว่าแฟนบอลจะเห็นตรงกันที่สุดนั่นก็คือ ความเชื่อมั่นที่มีต่อตัวผู้จัดการทีมและพร้อมทุ่มเงิน 75 ล้านปอนด์ให้กับกองหลังคนหนึ่งที่ไม่ได้มีชื่อเสียงระดับโลก แถมยังไม่มีการบีบบังคับหรือเร่งรีบให้หาตัวแทนมาแก้ขัดแบบขอไปที ทำให้สุดท้ายก็ได้จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญมาเติมเต็มให้สามารถก้าวขึ้นมาลุ้นแชมป์ได้สำเร็จ

ชายผู้ให้ความสำคัญที่คุณค่ามากกว่าเงินตรา เจอร์เก้น คล็อปป์

วินาทีแรกที่ก้าวเข้ามาดำรงตำแหน่งกุนซือของทางลิเวอร์พูล เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้กล่าวว่า “ผมได้รับการติดต่อจากหลาย ๆ ทีม แต่ไม่มีแผนงานไหนเลยที่จะทำให้ผมตื่นเต้นได้เท่ากับทาง ลิเวอร์พูล โอเคว่าถ้าผมไปทีมอื่นอาจจะมีโอกาสคว้าแชมป์ได้ง่ายกว่า แต่มันจะมีความสำคัญเท่ากับการปลุกสโมสรอย่างลิเวอร์พลูให้กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งไหมล่ะ”

ถึงจุดนี้เชื่อว่าแฟน ๆ ลิเวอร์พูลหลาย ๆ คนคงยิ้มไปตามกันหลังจากได้รู้ถึงบทสัมภาษณ์ โดยต้องยอมรับความจริงกันก่อนว่าในช่วงเวลานั้นทางสโมสรค่อนข้างจะมีข้อจำกัดในการเฟ้นหาผู้จัดการทีมเข้ามารับตำแหน่ง เพราะไม่สามารถนำเงินมาวางเพื่อล่อใจแก่เหล่าผู้จัดการทีมฝีมือฉกาจได้ ซึ่งต่างกับทาง เชลซี แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือแม้กระทั่งทีมคู้แค้นอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยสิ้นเชิง แต่ทางคล็อปป์เองกลับไม่นำเรื่องดังกล่าวมาคิดแม้แต่นิดเดียว ทั้งที่ในขณะนั้นเจ้าตัวก็ได้รับการทาบทามจากเหล่าสโมสรยักษ์ใหญ่มากมายทั่วทั้งยุโรป จนสุดท้ายได้กลายมาเป็นกำลังสำคัญให้สโมสรคืนชีพและกลับมาผลงานได้อย่างโดดเด่นจนกลายเป็นทีมอันดับต้น ๆ ของโลก

แน่นอนว่านักเตะก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมที่ผลงานที่ดีอยู่ในตอนนี้ แต่หากพูดกันตรง ๆ ก็คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งสองคนที่เรากล่าวมา คือกุญแจสำคัญที่เข้ามาปลดล็อกให้ทางสโมสรกลับมาโบยบินอย่างยิ่งใหญ่เพื่อรอวันที่จะคืนสู่บัลลังก์จุดสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษอีกครั้ง

ควรต่อสัญญาหรือไม่กับชายที่ชื่อ อันเดร์ เอร์เรร่า

อันเดร์ เอร์เรร่า กองกลางชาวสเปนจากสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีแฟนบอลสโมสรชื่นชอบมากที่สุด ด้วยบุคลิกความทุ่มเทในสนามที่มักจะวิ่งเหมือนมีถังเก็บพลังงานสำรอง และความรักที่มีต่อสโมสร จึงไม่น่าแปลกใจที่ เอร์เรร่า จะเป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่ได้รับการโหวตจากแฟนบอลให้เป็นว่าที่กัปตันทีมปีศาจแดง
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในอนาคต

                แต่ในปัจจุบัน สัญญาของ เอร์เรร่า กับทางสโมสรกลับไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ทั้งที่สื่ออังกฤษต่างลงข่าวอยู่เสมอว่า สโมสรได้เปิดเจรจาต่อสัญญากับเจ้าตัวเป็นที่เรียบร้อย แต่ท้ายที่สุดแล้ว เห็นจะมีก็แต่สื่อมวลชนที่เล่นประเด็นนี้กันอย่างสนุกสนาน เพราะเจ้าตัวได้ออกมายืนยันเป็นที่เรียบร้อยว่า ยังไม่ได้เจรจาเซ็นสัญญาใหม่กับทางต้นสังกัด

                ท่ามกลางกระแสข่าวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ล่าสุดเจ้าตัวได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อในประเด็นดังกล่าวว่า “ถือเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่คุณเหลือสัญญากับทางสโมสรอีกเพียงแค่ 3 เดือน เพียงแต่ในตอนนี้ผมสนใจแค่ผลงานในสนามตลอดฤดูกาลที่เหลือ ส่วนเรื่องอื่นผมปล่อยให้เอเยนต์เป็นคนจัดการ ทั้งการเจรจาสัญญากับทางสโมสร และโอกาสความเป็นไปได้ในการย้ายทีม”

                กลายเป็นว่าเหมือนหนังคนละม้วน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา อันเดร์ เอร์เรร่า มักให้สัมภาษณ์กับสื่อในทิศทางที่ว่า พร้อมที่จะค้าแข้งกับสโมสรไปอีกนาน แต่ในตอนนี้สถานการณ์กลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แล้วถ้าดาวเตะชาวสเปนรายนี้ตัดสินใจย้ายออกจากสโมสร จะมีผลกระทบอะไรเกิดขึ้นต่อทีมบ้าง

                จากสถิติในการเล่นตลอดฤดูกาล 2018/2019 พบว่า เอร์เรร่า ถือเป็นนักเตะที่เข้าสกัดคู่แข่งสำเร็จมากกว่าทุกๆคนในทีม โดยเข้าสกัดคู่แข่งเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 2.4 ครั้ง เหนือกว่า เนมานย่า มาติช หรือแม้กระทั่งผู้เล่นในตำแหน่งกองหลังอย่าง
วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่มีสถิติการเข้าสกัดเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 1.9 และ 1.3 ครั้งตามลำดับ นอกเหนือจากการเข้าสกัดแล้ว เอร์เรร่า ยังมีความสามารถในการแย่งบอลจากคู่แข่งสูงที่สุดในทีมอีกด้วย โดยมีสถิติการแย่งบอลจากเท้าคู่แข่งสำเร็จอยู่ที่ 1.9 ครั้งต่อเกม

                ยิ่งไปกว่านั้น หากมองที่วิธีการเล่นของเจ้าตัว ที่มักจะคอยวิ่งช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมให้สามารถจ่ายบอลหนีตัวประกบได้ง่าย และถ่ายเทบอลได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ทีมเสียการครองบอลยากกว่าเดิมเวลาที่นักเตะรายนี้อยู่ในสนาม และการเล่นบอลที่ชาญฉลาดนี้เอง ที่ทำให้ได้รับคำชื่นชมอย่างมากจาก โชเซ่ มูรินโญ่  อดีตผู้จัดการทีมของสโมสร โดยเหตุการณ์ที่ทำให้ มูรินโญ่ ยกย่อง เอร์เรร่า เป็นอย่างมาก คือเหตุการณ์ที่ มิดฟิลด์รายนี้เคยขัดคำสั่งที่เขาต้องการให้เจ้าตัวเข้าไปยืนในกรอบเขตโทษ แต่เขาเห็นเพื่อนร่วมทีมมีความสามารถในการทำประตูมากกว่า จึงได้สั่งให้เพื่อนร่วมทีมสลับตำแหน่งกับตัวเอง และนี่คือที่มาของประตูชัยที่ส่งผลให้ทีมเอาชนะ อาแจ็กซ์ และคว้าแชมป์ ยูโรปา ลีก มาครองได้ในที่สุด

                เพราะฉะนั้นแล้ว หากทาง ยูไนเต็ด ไม่สามารถที่จะเจรจาต่อสัญญาใหม่กับดาวเตะชาวสเปนรายนี้ได้ คงเป็นเรื่องน่าเสียดายและคงสร้างผลกระทบอย่างมากต่อทีมแน่นอน เพราะถึงแม้ในโลกฟุตบอลจะมีกองกลางที่มีทักษะมากมายเพียงใด แต่คงจะหาได้ยากกับชายที่รักและทุ่มเททุกอย่างให้กับสโมสรโดยไม่สนชื่อเสียงส่วนตัว ชายที่เล่นฟุตบอลได้อย่างชาญฉลาด ชายที่ชื่อ อันเดร์ เอร์เรร่า

ทีมไหนเป็นตัวเก็งพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018 – 2019 หนนี้?

การแข่งขันฟุตบอลรายการพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เป็นการแข่งขันฟุตบอลลีกที่เรียกได้ว่าโด่งดังและมีชื่อเสียงที่สุดสำหรับแฟนบอลในประเทศไทย สำหรับฤดูกาลล่าสุดในปี 2018 – 2019 นี้ เรียกได้ว่านับวันยิ่งจะทวีความเข้มข้นในการขับเคี่ยวลุ้นแชมป์กันมากขึ้นเรื่อย ยิ่งในปีที่จะถึงนี้ ที่เพิ่งจะจบการแข่งขันฟุตบอลโลกล่าสุดที่ประเทศรัสเซีย 2018 มาหมาด ๆ ก็ยิ่งจะทำให้อารมณ์ ความอิน และความต้องการเสพฟุตบอลของแฟน ๆ ยังอยู่ในใจต่อเนื่อง ดังนั้น สำหรับพรีเมียร์ลีกอังกฤษที่เพิ่งเริ่มเปิดฉากแข่งขันไปนั้น จะมีทีมสโมสรไหนบ้างที่จะถือว่าเป็นตัวเก็ง มีสิทธิจะลุ้นคว้าแชมป์ไปครองในที่สุด ลองไปชมกันหน่อย

2 ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์

เหมือนกับทุกฤดูกาลของพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ที่นับย้อนไป 6-7 ปีที่ผ่านมา เมืองแมนเชสเตอร์ที่ขึ้นชื่อเรื่องฟุตบอลอันดับหนึ่งของประเทศ ส่ง 2 ทีมยักษ์เข้าประกวดเช่นเคย ทีมแรกคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือเรือใบสีฟ้า แชมป์เก่าจากปีที่แล้วนั่นเอง แน่นอนว่าแชมป์เก่าก็ต้องป้องกันแชมป์เป็นธรรมดา แต่ว่าสำหรับลูกทีมของกวาดิโอล่าแล้ว แนวโน้มของความแรงนับว่าแรงขึ้นทุกปีตั้งแต่ปีแรกที่วืดแชมป์ จนปีที่แล้วได้แชมป์ จนมาถึงปีนี้ ทุกฝ่ายต่างมองเห็นว่าการเล่นเป็นระบบสวยงาม และความดุดันยิ่งมากขึ้น ๆ เมื่อนักเตะเข้าใจปรัชญาของโค้ช
ส่วนอีกทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือผีแดง ทีมขวัญใจเบอร์หนึ่งของแฟนบอลไทยนั่นเอง สาเหตุก็เพราะว่าในปีที่แล้วพวกเค้าพลาดแชมป์แบบหมดลุคดูไม่จืด ไม่ได้แชมป์ใด ๆ เลย หัวเรืออย่างมูริญโญ่จึงไม่อยู่เฉยแน่ ๆ ในฐานะจอมวางแผนและแก้เกมมือหนึ่ง จึงนับว่าน่าติดตามมาก

หงส์แดงและสิงโตน้ำเงิน

ปีนี้ไม่ต้องตกใจที่มีชื่อของหงส์แดง ลิเวอร์พูลมาเกี่ยวข้องด้วย เพราะว่าปีที่ผ่านมาพวกเค้าแสดงให้โลกเห็นแล้วว่า เมื่อเกมรุกที่จัดจ้านสมชื่อเครื่องจักรสีแดงคืนชีพ ด้วยมนต์ตราของเทพเจ้าซาลาห์ที่โด่งดังไปทั่วยุโรปในปีเดียว เริ่มทำงานเมื่อไหร่ ก็แทบจะไม่มีทีมไหนรอดจากการเสียประตูได้ ส่วนเกมรับกับนายทวารจุดอ่อนมาตอนนี้พวกเค้าแก้ไขด้วยการซื้อของดีราคาแพงมาอุดแล้ว จึงหมดปัญหา
ส่วนทางด้านทีมใหญ่อย่างเชลซีก็เข้าตำราเดิม ทีมสิงโตน้ำเงินครามตัดสินใจเปลี่ยนโค้ชใหม่อีกครั้ง เป็นซาร์รี่จาก นาโปลี ก็เรียกได้ว่าปรัชญาการเล่นเปลี่ยนอีก และเดาทางไม่ออกอีกครั้ง จึงตัดพวกเค้าออกไม่ได้แน่ ๆ

ทั้ง 4 ทีมนี้จัดว่าเป็นทีมที่ฟันธงได้เลยว่า จะต้องลุ้นแชมป์กันอย่างขับเคี่ยวสูสีไปจนถึงนัดท้าย ๆ เพราะคุณภาพและความสดใหม่ในด้านทรัพยากรของทุกสโมสร จึงเรียกว่าแฟนบอลอดใจรอกันให้มีการแข่งขันไม่ไหวแล้วแน่