Tag: แชมป์เปี้ยนชิพ (page 1 of 1)

นอริช ซิตี้ นกขมิ้นสีเหลืองกับฉายาขาประจำจอมตกชั้น

ในการแข่งขันที่มีทั้งความสมหวังและผิดหวัง ในการแข่งตลอดฤดูกาลเมื่อจบนัดที่ 38 ของพรีเมียร์ลีกแล้วก็มีจะทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ในตาราง ซึ่งสามทีมที่อยู่ท้ายตารางก็จะต้องตกชั้นลงไปเล่นในลีกรองอย่างแชมเปียนส์ชิพ โดยตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีทั้งทีมใหญ่ที่พลิกตกชั้นไปอย่างน่าเสียดายทั้งแบล็คเบิร์น โรเวอร์หรือลีดส์ ยูไนเต็ดที่เคยเป็นถึงอดีตแชมป์ลีกสูงสุด และทีมขาประจำที่คอยเลื่อนชั้นตกชั้นอยู่ตลอดเวลาเช่น นอริช ซิตี้ เจ้าของฉายานกขมิ้นสีเหลืองนั่นเอง โดยที่การเลื่อนชั้นของพวกเขาเกิดขึ้นทั้งหมด 5 ครั้ง แต่ทว่าการตกชั้นของพวกเขากลับมีจำนวนมากกว่าเสียอีก เรียกว่าเป็นทีมขาประจำที่คอยเป็นน้องใหม่หน้าเก่าเสมอในลีกสูงสุดของอังกฤษ

การเลื่อนชั้นของพวกเขา

การเลื่อนของเขาครั้งแรกเกิดขึ้นในฤดูกาล 2004-2005 ซึ่งเป็นถือเป็นทีมหน้าใหม่ในพรีเมียร์ลีกเป็นอย่างมากในเวลานั้น เพราะเป็นเวลาเกือบสิบปีที่พวกเขาต้องตกชั้นลงไป พร้อมกับสถิติที่ไม่น่าจดจำอย่างการที่พวกเขาไม่สามารถคว้าชัยนอกบ้านของพวกเขาได้เลยสักนัดเดียว และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงทำได้แค่อันดับที่ 19 หลังจากจบฤดูกาลไป และพวกเขาต้องรออีกถึง 7 ปีจนกระทั่งก้าวขึ้นมาสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งนึง โดยในระหว่างนั้นพวกเขาต้องลงไปเล่นในลีกลำดับที่ 3 ก่อนจะเลื่อนชั้นกลับขึ้นในแชมเปียนส์ชิพอีกครั้งและใช้เวลาอีก 2 จนกลับมาสู่ลีกสูงสุดในปี 2011 ลงแข่งขันได้นานถึง 3 ฤดูกาลก่อนจะที่ในปี 2015 พวกเขาจะลงไปเล่นในแชมเปียนส์ชิพเหมือนเดิม แต่ทีมนกขมิ้นก็ไม่ต้องบินต่ำอยู่นาน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะจบฤดูกาลด้วยลำดับที่ 3 ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเลื่อนชั้นแบบอัตโนมัติ พวกเขาทำได้เพียงไปแข่งเพลย์ออฟต่อแต่นอริชก็สามารถปราบทีมอิปส์วิช ทาวน์และมิดเดิ้ลส์โบห์จนคว้าตำแหน่งแชมป์เพลย์ออฟและก้าวขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกอันเป็นที่รักของเขาได้อีกครั้ง

และการเลื่อนชั้นครั้งสุดท้ายของเขาถือว่าเป็นครั้งที่สวยงามที่สุดของสโมสร เพราะพวกเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกแชมเปียนส์ชิพได้สำเร็จโดยทำไปได้ถึง 94 แต้มจาก 46 นัด เรียกว่าเหล่านักพนันยิ้มแก้มปริ เพราะลงแข่งในลีกรองเป็นประจำจนประสบความสำเร็จ วางเดิมพันอย่างไรก็ชนะทุกทีเลยทีเดียว

การตกชั้นของพวกเขา

มีพบก็ต้องมีจาก แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเลื่อนได้บ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่พวกเขากลับไม่เคยอยู่ในพรีเมียร์ลีกได้นานเกิน 4 ฤดูกาลเลย หลังจากที่ตกชั้นครั้งแรกในพรีเมียร์ลีกในปี 1995 ซึ่งในสมัยนั้นยังมีทีมลงแข่งทั้งหมด 22 ทีม และพวกเขาจบด้วยอันดับที่ 20 และต้องตกชั้นไปพร้อม ๆ กับคริสตัล พาเลซ เลสเตอร์ ซิตี้และอิปส์วิช ทาวน์ ก่อนที่จะต้องรอเป็นเกือบ 10 ปีเพื่อที่จะกลับขึ้นชั้นอีกครั้ง แต่ทว่าในฤดูกาลถัดมานอริชกลับทำได้แค่ 33 แต้มซึ่งน้อยกว่าทีมที่รอดตกชั้นเพียงแต้มเดียวและน่าเสียใจไปกว่านั้นคือก่อนลงแข่งนัดสุดท้ายพวกเขาอยู่อันดับที่ 17 โซนปลอดภัยแต่กลับไม่สามารถออกไปแพ้ฟูแล่มถึง 6-0 จนต้องยอมรับชะตากรรมไป แต่เรื่องน่าเศร้าของพวกเขายังไม่จบหลังจากที่เมาหมัดอยู่ในแชมเปียนส์ชิพอยู่ 4 ปี พวกเขาก็ต้องตกชั้นไปอยู่ลีกวัน ซึ่งเป็นลีกลำดับที่สามของประเทศอังกฤษ ก่อนจะใช้เวลาไม่นานจนกลับมาสู่พรีเมียร์ลีกในที่สุด

เรียกว่านอริชยุคใหม่ทำได้ดีมากขึ้นเมื่อพวกเขายังลองเล่นในพรีเมียร์ลีกได้นานถึง 3 ฤดูกาลก่อนจะพลาดท่าตกชั้นอีกครั้งในปี 2014 แล้วกลับขึ้นมาใหม่ในปี 2015 แล้วตกกลับลงไปอีกครั้งด้วยอันดับ 19 ของตาราง ก่อนจะขอปิดท้ายสด ๆ ร้อน ๆ ในปี 2020 ที่พวกเขาจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 20 ครองตำแหน่งสุดท้ายของตารางแม้จะเป็นปีที่แจ้งเกิดของกองหน้าอย่างปุ๊กกี้ก็ตาม

น่าเสียดายที่ทีมนกขมิ้นสีเหลืองกลับไม่สามารถรักษามาตรฐานของตัวเองจนไม่อาจจะอยู่ในลีกสูงสุดได้เป็นเวลานาน แต่เชื่อได้เลยว่าด้วยประสบการณ์ของพวกเขาจะทำให้แฟนบอลคงไม่ต้องคอยรอนานที่จะได้เห็นทีมเขียวเหลืองนี้กลับมาแข่งในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง และหวังว่าคราวนี้พวกเขาจะกลายเป็นขาประจำในลีกสูงสุดเสียที

นายใหญ่ชาวอาร์เจนผู้บ้าคลั่งในนาม มาร์เซโล บิเอลซ่า

ผลหลังจากที่ฤดูกาล 2019-2020 ของทีมลีดส์ ยูไนเต็ดจบลงด้วยการเป็นแชมป์ลีกรองและคว้าสิทธิเลื่อนชั้นขึ้นพรีเมียร์ลีกในที่สุด ถือเป็นการจบการรอคอยนานถึง 16 ปี ซึ่งที่ผ่านมาทีมยูงทองต้องผ่านเรื่องราวมากมายกว่าจะสามารถกลับมาแข่งขันในลีกสูงสุดได้สำเร็จ ส่วนหนึ่งก็คือการมาของมาร์เซโล บิเอลซ่ากุนซือชาวอาร์เจนติน่า ซึ่งเป็นคนที่แม้แต่ยอดผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้อย่างเป็ป กวาติโอล่ายังต้องยอมรับว่าเขาคือของจริง แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นที่รู้จักมากก็ตามในทวีปยุโรป แต่เขาก็ประสบความสำเร็จมากมายในแถบอเมริกาใต้และเบื้องหลังความสำเร็จของเขากับลีดส์ที่ไม่ได้ใช้เวลานานอย่างที่แฟน ๆ ต้องรออย่างที่ผ่านมา

เกียรติประวัติของบิเอลซ่า

ถ้าจะบอกความสำเร็จง่าย ๆ เกี่ยวกับบิเอลซ่าก็คือเขาคือผู้จัดการทีมชาติอาร์เจนติน่าที่พาลีโอเนล เมสซี่คว้าเหรียญทองในการแข่งขันโอลิมปิกในปี 2004 นั่นเอง และนี่คือเหตุผลว่ามีข่าวหลุดออกมาว่าตัวของเมสซี่เองก็อยากจะร่วมงานกับเขาอีกครั้งในอนาคต แต่ในส่วนของความสำเร็จกับสโมสร เขาเคยพาทีมอย่างนีเวลล์ โอลด์บอยส์คว้าแชมป์ลีกที่ประเทศบ้านเกิดในปี 1991 และพาสโมสรแอตแลนติก บิลเบาซึ่งอยู่ระดับกลางตารางในลีกลาลีกาสเปน เข้าชิงแชมป์ยูฟ่า ยูโรป้า ลีกและโคปา เดอ เรย์ที่เป็นถ้วยศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ แต่น่าเสียดายที่เขาทำได้แค่เพียงรองแชมป์ทั้งสองใบ

ส่วนสไตล์การคุมทีมของเขาถือเป็นที่เลื่องลือมาก เพราะเขาจะเป็นคนเก็บรายละเอียดมาก ๆ รวมทั้งส่งแมวมองไปสังเกตการเล่นของแต่ละทีม และผู้เล่นแต่ละคนอีกด้วย แม้มันจะดูเป็นเรื่องปกติในสมัยนี้ แต่กับช่วงสิบปีหรือยี่สิบปีก่อน นี่ถือเป็นเรื่องที่ใหม่มาก รวมถึงการใช้จิตวิทยากับลูกทีมจนใครก็หาว่าเขาเป็นคนบ้าคนหนึ่งเลยทีเดียว

การคุมทีมยักษ์หลับอย่างลีดส์

ทีมยูงทองถือเป็นทีมจอมเกือบในลีกแชมเปียนส์ชิพเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการแพ้ดาร์บี้ เคาท์ตี้ทั้ง ๆ ที่ชนะมาก่อนในนัดเพลย์ออฟเพื่อสิทธิ์การเลื่อนชั้น หรือพลาดท่าในช่วงท้ายฤดูกาลจนไม่อาจจะคว้าแต้มพอที่จะอยู่ภายในอันดับ 6 ของตาราง แต่การมาของมาร์เซโล่ บิเอลซ่าทำให้ทีมอย่างลีดส์ ยูไนเต็ดมีชีวิตชีวามากขึ้นและเขาสามารถแก้ปัญหาที่ทีมชอบแผ่วปลายในช่วงท้ายฤดูกาลจนต้องพลาดท่าเสมอ แต่ในปีแรกเขาเกือบจะพาทีมเป็นแชมป์ แต่หลังจากที่ทีมเสียสมาธิที่ตัวผู้จัดการโดนวิจารณ์เรื่องที่เขาส่งคนไปสอดแหนมขณะที่คู่แข่งฝึกซ้อม และสุดท้ายกลับทำได้เพียงอันดับ 3 ของตารางและแพ้ในรายการเพลย์ออฟอย่างที่กล่าวข้างต้น

แต่ความสำเร็จของพวกเขาก็มาถึงเมื่อลีดส์ ยูไนเต็ดที่ตอนแรกเริ่มฉายแววแผ่วปลายเช่นเคย แต่ด้วยความเขี้ยวของเขาเองทำให้ทีมยูงทองยังสามารถเก็บชัยชนะไว้ได้ตลอด จนกระทั่งพวกเขาสามารถเป็นแชมป์ได้ก่อนจบฤดูกาลถึง 2 นัดและคว้าแต้มไปได้ถึง 93 คะแนนพร้อมกับสถิติเสียประตูน้อยที่สุดในลีกอีกด้วย

ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่รอดในพรีเมียร์ลีกได้หรือไม่ก็ตาม แต่ชื่อของมาร์เซโล่ บิเอลซ่าก็ถือว่าเป็นตำนานของทีมได้แล้ว หลังจากที่ช่วยปลุกให้แฟนบอลต้องตื่นจากฝันร้ายที่ยาวนานกว่า 16 ปีได้ และนี่คงจะเป็นหนึ่งในเครื่องพิสูจน์ว่าชายที่เก็บทุกรายละเอียดและมีจิตวิทยาเฉพาะตัว สามารถพาทีมที่แทบจะหมดหวังในการเลื่อนชั้นไปแล้วกลับมาได้สู่ที่ ๆ เคยเป็นของพวกเขาอีกครั้งนึงนั่นเอง