Tag: แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (page 1 of 1)

เส้นทางชีวิตของกุนซือคนใหม่แห่งทัพปีศาจ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

ภายหลังจากผลงานการคุมทัพปีศาจแดงชั่วคราว ที่พาทีมโชว์ฟอร์มอย่างร้อนแรงจนทำให้ล่าสุดทางสโมสร ต้องประกาศแต่งตั้ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เป็นผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการ สมกับฉายาซูเปอร์ซับ ที่สามารถเข้ามาช่วยทีมให้พ้นจากช่วงเวลาที่ยากลำบากได้อีกครั้ง แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่า เบื้องหลังชีวิตของกุนซือหน้าทารกรายนี้ มีความน่าสนใจเพียงใด

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ในวัยทารกน้อยได้ถือกำเนิดเมื่อปี 1973 ที่ประเทศนอร์เวย์  โดยที่ได้ถูกตั้งความหวังจากคุณพ่อที่เป็นนักมวยปล้ำอาชีพฝีมือฉกาจ การันตีจากการคว้าแชมป์ภายในประเทศกว่า 5 สมัย ให้ฝึกฝนและเติบโตขึ้นเป็นนักมวยปล้ำชั้นแนวหน้า แต่ด้วยร่างกายที่ค่อนข้างอ่อนเอ ทำให้สุดท้ายไม่สามารถเดินตามความฝันของคุณพ่อได้สำเร็จ

แต่ในวัยเด็กนอกเหนือจากเวลาที่ใช้ในการฝึกฝนทักษะมวยปล้ำแล้ว โซลชา จะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการดูรายการฟุตบอลอังกฤษ จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาเริ่มหันมาเล่นกีฬาฟุตบอล และด้วยความตั้งใจในการฝึกฝนทักษะของตัวเอง จึงทำให้ได้มีโอกาสเล่นร่วมกับทีมประจำท้องถิ่น ในวัยเพียง 8 ขวบเท่านั้น

เมื่อก้าวเข้าสู่วัยรุ่น โซลชา ที่ได้บ่มเพาะศักยภาพในการเป็นนักเตะมาอย่างต่อเนื่อง ก็ได้เข้าสู่ทีมเยาวชนและได้เล่นให้กับทีมในดิวิชั่น 3 อย่าง เคลาเซเนนเก้น จนผลงานไปเตะตาทีมในระดับลีกสูงสุดอย่าง โมลด์ และใช้เวลาเพียงไม่นานในการสร้างชื่อจนได้ขนานนามจากแฟนบอลว่า  อลัน เชียร์เรอร์ แห่งประเทศนอร์เวย์ โดยโซลชา ก็ไม่ได้หลงระเริงไปกับชื่อเสียงที่ได้รับ แต่กลับตั้งใจขยันฝึกซ้อมมากยิ่งขึ้น โดยหวังแต่เพียงว่าวันหนึ่ง จะได้ย้ายไปเล่นในลีกสูงสุดของอังกฤษ

และจากฟอร์มอันร้อนแรงที่ซัดไป 31 ประตูตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ย้ายมาร่วมทีม ส่งผลให้ฟอร์มดันไปเตะตากับผู้ที่จะมาเปลี่ยนอนาคตเขาไปตลอดการอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ในขณะนั้นพึ่งผิดหวังจากการพยายามคว้าตัวสุดยอดกองหน้าที่ โซลชา เคยถูกนำไปเปรียบเทียบอย่าง อลัน เชียร์เรอร์ เป็นเหตุให้ทางสโมสรตัดสินใจเซ็นสัญญา โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ดาวยิงจากประเทศนอร์เวย์ ที่แฟนบอลประเทศอังกฤษในยุคสมัยนั้นแทบไม่มีใครรู้จักเขาเลย โดยในปีแรกเขาได้กลบเสียงวิจารณ์และข้อสงสัยในตัวเขาทันที เมื่อจัดการยิงประตูให้กับทีมไปถึง 18 ประตูในลีก พร้อมคว้าตำแหน่งดาวซัลโวของทีมและพาสโมสรคว้าแชมป์ลีกมาครองได้ในที่สุด

แต่แล้วในปี 1998-1999 สโมสรก็ได้ตัดสินใจเซ็นกองหน้ามาอีกรายนั้นคือ ดไวท์ ยอร์ค ทำให้เกิดกระแสข่าวการย้ายทีมของ โซลชา เกิดขึ้นทันที อย่างไรก็ดี ดาวยิงชาวนอร์เวย์กลับปฏิเสธการย้ายทีมและพร้อมเข้าร่วมแข่งขันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งกองหน้าตัวจริง โดยที่เจ้าตัวอาจไม่รู้ว่าการตัดสินใจนี้ จะเป็นการเปิดประตูไปสู่การเป็นตำนานที่เข้าไปครองใจเหล่าแฟนๆสาวกปีศาจแดงในภายหลัง

ในเวลาต่อมาโซลชา ได้ถูกปรับเปลี่ยนบทบาทมาเป็นกองหน้าตัวสำรองของทีมบ่อยครั้ง แต่ด้วยความสามารถในการยิงประตูในช่วงเวลาสำคัญของทีม พาทีมพลิกกลับมาเอาชนะ หรือคว้าผลการแข่งขันที่ต้องการได้เสมอ ทำให้ โซลชา ได้รับการขนานนามจากสื่อและแฟนบอลว่า สุดยอดกองหน้าซูเปอร์ซับ โดยสิ่งที่ถูกกล่าวขานมากที่สุด คือการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศในศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ที่เจอกับสโมสร บาเยิร์น มิวนิค ในปี 1999 ที่ในขณะนั้นทีมตามหลังอยู่ 1-0  โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ถูกส่งลงไปแทนกองหน้าในขณะนั้นอย่าง แอนดี้ โคล ในนาทีที่ 81 และช่วงเวลาหลังจากนั้น คือสิ่งที่เรียกว่า “ตำนาน”

พัฒนาการของชายที่ชื่อ ปอล ป็อกบา

หากนับจากปฏิทินปี 2019 ปอล ป็อกบา ดาวเตะชาวฝรั่งเศส กองกลางของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือเป็นหนึ่งใน
นักเตะที่มีฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งของยุโรป ซึ่งช่างแตกต่างราวฟ้ากับดินเมื่อเทียบกับฟอร์มการเล่นก่อนหน้า ที่ในขณะนั้นยังโดนกระแสแฟนบอลโจมตีทางจากทั่วทุกสารทิศ จนถึงขนาดเรียกร้องให้สโมสรปล่อยตัวดาวเตะรายนี้ออกจากทีมโดยเร็วที่สุด

                ด้วยสไตล์การเล่นที่ไม่ค่อยช่วยเหลือทีมในเรื่องของเกมรับ และการแสดงออกที่ดูไม่มีความทุ่มเทและมุ่งมั่นมากเท่าที่ควร  รวมถึงสิ่งที่สื่อหลายสำนักได้เปิดเผยว่า เจ้าตัวทำตัวมีปัญหากับผู้จัดการทีม จนถึงขั้นเคยมีคลิปหลุดออกมาให้เหล่าแฟนบอลได้เห็น ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่มีกระแสดังกล่าวเกิดขึ้น

                แต่ภายหลังเมื่อสงครามภายในจบลง และเป็นฝ่ายผู้จัดการทีมอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือชาวโปรตุเกส ที่เป็นผู้พ่ายแพ้ไป ปอล ป็อกบา ก็ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั้งในและนอกสนามไปเป็นคนละคน เมื่อสโมสรได้ประกาศแต่งตั้ง
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ตำนานกองหน้าของสโมสร ผู้เป็นโค้ชฝึกสอนให้กับ ป็อกบา ในอดีตเมื่อสมัยอยู่ในทีมเยาวชน เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีม

                ซึ่งพอได้กลับมาร่วมงานกลับกุนซือที่รู้ใจ ก็ส่งผลให้ ปอล ป็อกบา กลับมามีผลงานการเล่นที่โดดเด่น มีความทุ่มเทและมุ่งมั่นให้กับสโมสร จนกลายเป็นศูนย์กลางการสร้างทีมของผู้จัดการทีมคนใหม่ทันที กลบกระแสแฟนบอลและนักวิเคราะห์ที่คอยวิจารณ์ผลงานและการแสดงออกของเจ้าตัวได้อย่างสิ้นเชิง

                จากสถิติการเล่นของเจ้าตัวในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก ป็อกบา มีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูเฉลี่ยอยู่ที่ 0.45 ประตูต่อเกม โดยมีโอกาสยิงต่อเกมเฉลี่ย 2.93 ครั้ง จ่ายสร้างสรรค์โอกาส 1.63 ครั้ง และสกัดบอลคู่แข่งสำเร็จเฉลี่ย 1.07 ครั้งต่อเกม แต่พอภายหลังการเข้ามาคุมทีมของโซลชา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เหมือนได้นักเตะใหม่เข้ามาด้วย เมื่อปอล ป็อกบา ได้สร้างผลงานอย่างเหลือเชื่อ โดยมีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูในทุกๆ 78 นาที คิดเป็นค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.15 ประตูต่อเกม มีโอกาสยิงต่อเกมสูงถึง 3.56 ครั้ง ผ่านบอลสร้างสรรค์โอกาส 1.86 ครั้ง และสกัดบอลคู่แข่งสำเร็จ 1.86 ครั้งต่อเกม เรียกได้ว่าภายหลังการเข้ามาของผู้จัดการทีมคู่ใจ ป็อกบา ได้กลายเป็นหนึ่งในกองกลางที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดในยุโรปทันที

                โดยจากผลงานการเล่นที่โดดเด่นขนาดนี้ ทำให้ดาวเตะชาวฝรั่งเศส ตกเป็นเป้าหมายการเสริมทัพของเหล่าทีมชั้นนำทั่วยุโรปไม่ว่าจะเป็นการแย่งตัวกันระหว่างสโมสรคู่แค้นอย่าง บาร์เซโลน่า กับ เรอัล มาดริด ภายใต้กุนซือคนใหม่หน้าเดิมที่เป็นคนบ้านเดียวกันอย่าง ซีเนดีน ซีดาน หรือแม้กระทั่งทีมเก่าอย่าง ยูเวนตุส ก็ยังต้องการตัวกลับไปร่วมทีม

                ตอนนี้สถานการณ์ได้กลับกันเป็นที่เรียบร้อย จากที่กองกลางตัวตัดผมรายนี้เคยไม่เป็นที่ต้องการของเหล่าแฟนบอล ยูไนเต็ด กลับกลายเป็นว่า บรรดาแฟนบอลของสโมสรได้แต่ภาวนาให้ ปอล ป็อกบา ไม่ขอย้ายทีมและฝากอนาคตกับสโมสรในระยะยาว เพื่อพาสโมสรกลับไปอยู่ในจุดที่เคยยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

โซลชา เซ้งรถบัสต่อจากน้ามูจริงหรอ

“ผู้จัดการทีมที่เข้ามาทำงานต่อจากผม เปลี่ยนสไตล์การเล่นฟุตบอลของทีมเป็นเน้นเกมรับแล้วรอสวนกลับ ผู้จัดการทีมที่เข้ามาหลังจากเขาก็เล่นในสไตล์เดียวกัน สิ่งที่ต่างกันระหว่างสองคนนี้มีเพียงแค่ โซลชา เก็บผลการแข่งขันได้ดีกว่าเท่านั้น แต่นี่เป็นเรื่องจริงที่ปัจจุบัน ยูไนเต็ด ไม่ได้เล่นในสไตล์ที่ เฟอร์กูสัน สร้างเอาไว้” นี่คือสิ่งที่ หลุยส์ ฟาน กัล อดีตกุนซือที่เคยร่วมงานกับสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ให้สัมภาษณ์ความเห็นกับสื่อถึงสไตล์การเล่นของทีมในปัจจุบัน

                ตลอดภายหลังการเข้ามาคุมทีมตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคม โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้เข้ามาสร้างปรากฏการณ์ต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการพาทีมกลับมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม บรรยากาศในทีมที่ดีขึ้น เหล่านักเตะต่างโชว์ศักยภาพในการเล่นได้ราวกับเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้ กล่าวได้ว่า โซลชา คือผู้ที่เข้ามานำพาสโมสรกลับมาสู่ทิศทางที่ควรจะเป็นอีกครั้ง

                แต่ถ้าย้อนกลับมาถามว่า สิ่งที่ตำนานกุนซือชาวดัตช์ได้กล่าวไว้ ผิดไปจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไหม ก็คงปฏิเสธไม่ได้ เนื่องจากเวลาเจอกับเหล่าทีมชั้นนำในประเทศและต่างประเทศ โซลชา มักจะวางแผนการเล่นที่เน้นรับต่ำและรอสวนกลับอย่างรวดเร็วโดยใช้จังหวะที่น้อยที่สุด อย่างที่ หลุยส์ ฟาน กัล ได้กล่าวไว้จริงๆ

ในทางกลับกัน นั่นก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด เพราะเวลาที่ ยูไนเต็ด เจอกับทีมที่เป็นรองกว่า ก็จะพบเห็นสไตล์การเล่นที่ดันแผงกองหลังสูงและครองบอลบุกใส่คู่แข่งอยู่เสมอโดยที่ไม่มีใส่เกียร์ถอยหลังแม้แต่นิดเดียว และถึงแม้เวลาเจอกับทีมที่มีระดับพอๆกัน ก็มักจะเร่งสปีดเกมสวนกลับอย่างรวดเร็ว ต่อบอลกันเพียงไม่กี่จังหวะก็ถึงหน้ากรอบประตูและพร้อมลงโทษคู่ต่อสู้ ซึ่งจะแตกต่างจากในยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือชาวโปรตุเกส ที่ถึงแม้จะเล่นเกมรับและสวนกลับเหมือนกัน แต่เวลาสวนกลับมักจะมีความเร็วที่ช้า จนทำให้ทีมฝ่ายตรงข้ามกลับไปประจำตำแหน่งในเกมรับกันได้ทันท่วงที

นอกจากที่กล่าวมา ยังสามารถยืนยันได้จากสถิติที่ตลอดการเข้ามาคุมทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา สามารถพาทีมพังตาข่ายคู่แข่งได้ทุกๆเฉลี่ยทุกๆ 38 นาที คิดเป็นค่าเฉลี่ยประตูต่อเกมอยู่ที่ 2.31 ประตู ในขณะที่ทางฝั่งของ มูรินโญ่ ในฤดูกาลนี้จะมีสถิติการพังประตูคู่แข่งเฉลี่ยทุกๆ 60 นาที หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยการทำประตูต่อเกมอยู่ที่ 1.5 ประตู

และหากมองในแง่ของเกมรับจะพบว่า ค่าเฉลี่ยการเสียประตูต่อเกมของโซลชานั้นอยู่ที่เพียง 0.69 ประตูต่อเกมเท่านั้น แตกต่างจากทางฟากฝั่งของ มูรินโญ่ ที่ตลอดการพาทีมลงแข่งขันในฤดูกาลนี้ มีสถิติการเสียประตูอยู่ที่ทุกๆ 61 นาที หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.46 ประตูต่อเกม

ดังนั้น หากจะกล่าวว่า โซลชา มีวิธีการทำทีมที่มีสไตล์การเล่นที่ไม่แตกต่างจากในยุคของ มูรินโญ่ ก็คงไม่ยุติธรรมต่อเจ้าตัวสักเท่าไหร่ และเช่นเดียวกัน วิธีการทำทีมของเขาก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับสไตล์การเล่นในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตผู้จัดการทีมระดับตำนานของสโมสร แต่สิ่งที่ทำให้เหล่าแฟนบอลรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เหมือนกับ ยูไนเต็ด ในอดีตนั้น อาจเป็นเพราะ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา รู้จักความหมายของสโมสรแห่งนี้ดีว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คืออะไร

ควรต่อสัญญาหรือไม่กับชายที่ชื่อ อันเดร์ เอร์เรร่า

อันเดร์ เอร์เรร่า กองกลางชาวสเปนจากสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีแฟนบอลสโมสรชื่นชอบมากที่สุด ด้วยบุคลิกความทุ่มเทในสนามที่มักจะวิ่งเหมือนมีถังเก็บพลังงานสำรอง และความรักที่มีต่อสโมสร จึงไม่น่าแปลกใจที่ เอร์เรร่า จะเป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่ได้รับการโหวตจากแฟนบอลให้เป็นว่าที่กัปตันทีมปีศาจแดง
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในอนาคต

                แต่ในปัจจุบัน สัญญาของ เอร์เรร่า กับทางสโมสรกลับไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ทั้งที่สื่ออังกฤษต่างลงข่าวอยู่เสมอว่า สโมสรได้เปิดเจรจาต่อสัญญากับเจ้าตัวเป็นที่เรียบร้อย แต่ท้ายที่สุดแล้ว เห็นจะมีก็แต่สื่อมวลชนที่เล่นประเด็นนี้กันอย่างสนุกสนาน เพราะเจ้าตัวได้ออกมายืนยันเป็นที่เรียบร้อยว่า ยังไม่ได้เจรจาเซ็นสัญญาใหม่กับทางต้นสังกัด

                ท่ามกลางกระแสข่าวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ล่าสุดเจ้าตัวได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อในประเด็นดังกล่าวว่า “ถือเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่คุณเหลือสัญญากับทางสโมสรอีกเพียงแค่ 3 เดือน เพียงแต่ในตอนนี้ผมสนใจแค่ผลงานในสนามตลอดฤดูกาลที่เหลือ ส่วนเรื่องอื่นผมปล่อยให้เอเยนต์เป็นคนจัดการ ทั้งการเจรจาสัญญากับทางสโมสร และโอกาสความเป็นไปได้ในการย้ายทีม”

                กลายเป็นว่าเหมือนหนังคนละม้วน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา อันเดร์ เอร์เรร่า มักให้สัมภาษณ์กับสื่อในทิศทางที่ว่า พร้อมที่จะค้าแข้งกับสโมสรไปอีกนาน แต่ในตอนนี้สถานการณ์กลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แล้วถ้าดาวเตะชาวสเปนรายนี้ตัดสินใจย้ายออกจากสโมสร จะมีผลกระทบอะไรเกิดขึ้นต่อทีมบ้าง

                จากสถิติในการเล่นตลอดฤดูกาล 2018/2019 พบว่า เอร์เรร่า ถือเป็นนักเตะที่เข้าสกัดคู่แข่งสำเร็จมากกว่าทุกๆคนในทีม โดยเข้าสกัดคู่แข่งเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 2.4 ครั้ง เหนือกว่า เนมานย่า มาติช หรือแม้กระทั่งผู้เล่นในตำแหน่งกองหลังอย่าง
วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่มีสถิติการเข้าสกัดเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 1.9 และ 1.3 ครั้งตามลำดับ นอกเหนือจากการเข้าสกัดแล้ว เอร์เรร่า ยังมีความสามารถในการแย่งบอลจากคู่แข่งสูงที่สุดในทีมอีกด้วย โดยมีสถิติการแย่งบอลจากเท้าคู่แข่งสำเร็จอยู่ที่ 1.9 ครั้งต่อเกม

                ยิ่งไปกว่านั้น หากมองที่วิธีการเล่นของเจ้าตัว ที่มักจะคอยวิ่งช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมให้สามารถจ่ายบอลหนีตัวประกบได้ง่าย และถ่ายเทบอลได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ทีมเสียการครองบอลยากกว่าเดิมเวลาที่นักเตะรายนี้อยู่ในสนาม และการเล่นบอลที่ชาญฉลาดนี้เอง ที่ทำให้ได้รับคำชื่นชมอย่างมากจาก โชเซ่ มูรินโญ่  อดีตผู้จัดการทีมของสโมสร โดยเหตุการณ์ที่ทำให้ มูรินโญ่ ยกย่อง เอร์เรร่า เป็นอย่างมาก คือเหตุการณ์ที่ มิดฟิลด์รายนี้เคยขัดคำสั่งที่เขาต้องการให้เจ้าตัวเข้าไปยืนในกรอบเขตโทษ แต่เขาเห็นเพื่อนร่วมทีมมีความสามารถในการทำประตูมากกว่า จึงได้สั่งให้เพื่อนร่วมทีมสลับตำแหน่งกับตัวเอง และนี่คือที่มาของประตูชัยที่ส่งผลให้ทีมเอาชนะ อาแจ็กซ์ และคว้าแชมป์ ยูโรปา ลีก มาครองได้ในที่สุด

                เพราะฉะนั้นแล้ว หากทาง ยูไนเต็ด ไม่สามารถที่จะเจรจาต่อสัญญาใหม่กับดาวเตะชาวสเปนรายนี้ได้ คงเป็นเรื่องน่าเสียดายและคงสร้างผลกระทบอย่างมากต่อทีมแน่นอน เพราะถึงแม้ในโลกฟุตบอลจะมีกองกลางที่มีทักษะมากมายเพียงใด แต่คงจะหาได้ยากกับชายที่รักและทุ่มเททุกอย่างให้กับสโมสรโดยไม่สนชื่อเสียงส่วนตัว ชายที่เล่นฟุตบอลได้อย่างชาญฉลาด ชายที่ชื่อ อันเดร์ เอร์เรร่า

ภารกิจการผ่าตัดทีมครั้งใหญ่ของ ยูไนเต็ด

มีพบเจอก็ต้องมีลาจาก เมื่อบรรดาสโมสรทั้งหลายต่างจำเป็นต้องปลดระวางนักเตะบางคนออกจากทีม โดยถึงแม้จะมีความผูกพันกับเหล่านักเตะมากเพียงใด ก็จำต้องปล่อยให้นักเตะเหล่านั้นเดินจากไปเพื่อให้สโมสรสามารถเดินหน้าคว้าความสำเร็จต่อไปได้ เปรียบได้กับยานพาหนะที่เมื่อถึงเวลาต้องได้รับการบำรุงรักษา อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายอะไหล่ของเก่าออกไปบ้าง และนำของใหม่มาใส่เพื่อให้กลับมาขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อีกครั้ง

                เมื่อหันมามองที่สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ล่าสุดได้ประกาศแต่งตั้ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการ ภายหลังการทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในตอนได้รับโอกาสเข้ามาคุมทีมชั่วคราว ซึ่งหาก โซลชา ต้องการพาทีมเดินหน้าเพื่อท้าทายความสำเร็จ อาจจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนถ่ายนักเตะบางรายที่ไม่อยู่ในแผนงานที่วางไว้ในอนาคต เพื่อเปิดทางให้เหล่าบรรดานักเตะใหม่ได้เข้ามาสู่สโมสร

แล้วนักเตะรายใดบ้าง ที่เข้าข่ายในการที่สโมสรจำเป็นที่จะต้องถ่ายเลือดเก่าออกจากทีม

                มาร์กอส โรโฮ ปราการหลังชาวอาร์เจนตินา ที่อดีตผู้จัดการทีมอย่าง หลุยส์ ฟาน กัล ซื้อเข้ามาเพื่อใช้งานเป็นตัวหลักในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็คฝั่งซ้าย โดยได้ลงสนามอย่างต่อเนื่องมาจนถึงในช่วงแรกๆของยุคกุนซือ โชเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งโดยรวมแล้วถือว่าทำผลงานได้ค่อนข้างดีเสมอเมื่อได้รับโอกาส แต่ติดปัญหาที่ว่า ปราการหลังรายนี้มักจะประสบปัญหาอาการบาดเจ็บอยู่เสมอ ทำให้ไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างต่อเนื่อง และหากมองไปที่สถิติในการลงสนามจะพบว่า  มีโอกาสลงเล่นรวมกันทั้งสิ้นไม่ถึง 50 นัดตลอด 4 ฤดูกาลหลังสุด

                มัตเตโอ ดาร์เมียน แบ็คขวาชาวอิตาลี ผู้ที่ภายหลังการลงสนามในช่วงแรก แฟนบอลต่างขนานนามว่า เขาคือ

แกรี่ เนวิลล์ คนใหม่แห่งยูไนเต็ด แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นาน กลับประสบปัญหาไม่สามารถปรับตัวเข้ากับลีกอังกฤษได้เลย จนส่งผลให้มักจะถูกเลือกเป็นตัวสำรองอยู่เสมอ โดยตลอดการลงเล่นให้กับสโมสร ดาร์เมียน มีสถิติการลงเล่นรวมกัน 4 ฤดูกาลไม่ถึง 50 นัด เช่นเดียวกับในรายของ มาร์กอส โรโฮ

                อันโตนิโอ วาเลนเซีย หนึ่งในมรดกที่ตกทอดมาจากยุคสมัยที่รุ่งเรืองของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตตำนานผู้จัดการทีมของสโมสร โดยในกรณีของ วาเลนเซีย นั้น สัญญากับสโมสรจะหมดลงเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลนี้ และจากการที่เจ้าตัวอยู่ในวัยที่โรยราแล้ว ทำให้ทาง โซลชา น่าจะถือโอกาสในการถ่ายเลือดเก่า และดันดาวรุ่งอย่าง ดีโอโก้ ดาล็อต สลับกับทาง แอชลีย์ ยัง ที่พึ่งได้รับการต่อสัญญาไปมากกว่า

                อเล็กซิส ซานเชซ ปีกซ้ายที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงที่สุดของสโมสร ที่ตอนแรกสโมสรหวังซื้อเพื่อตัดหน้าคู่แข่งอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาในเกมรุกของทีม แต่ปรากฏว่า นี่ไม่ใช่ อเล็กซิส ซานเชซ คนเดิมที่เหล่าแฟนบอลเคยรู้จัก เมื่อพบว่าปัจจุบัน ดาวเตะรายนี้ทำผลงานได้น่าผิดหวังมากที่สุดคนหนึ่งของทีมในขณะนี้

                โดยทั้งหมดที่กล่าวมา ยังไม่รวมถึงในรายของ ฆวน มาต้า หรือ อันเดร์ เอร์เรร่า ที่สัญญากับสโมสรใกล้จะหมดลงในเร็ววัน ฉะนั้นแล้ว สโมสรควรดำเนินการตัดสินใจให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้เตรียมพื้นที่ว่างสำหรับเฟ้นหานักเตะที่จะเข้ามาเติมเต็มศักยภาพของทีม และพา ยูไนเต็ด กลับมาสู่เส้นทางความสำเร็จอีกครั้ง

ซัลฟอร์ด ซิตี้ ที่นี่มีเด็กผีคลาส’92

สำหรับสาวกผีแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเขามีทีมนักเตะที่กลายเป็นตำนานมากมาย แต่คลาส’92 ถือเป็นไฮไลท์เพราะนักเตะชุดนี้เป็นลูกเจี๊ยบอาจหาญที่ลบคำสบประมาทของอลัน เฮนเซ่น กูรูรุ่นเก๋าซึ่งเป็นอดีตนักเตะของอริตลอดชาติอย่างลิเวอร์พูลที่หยามว่า “คุณไม่มีทางจะชนะด้วยเด็ก ๆ พวกนี้หรอก”

คำพูดนี้มันเกิดขึ้นในเกมที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดส่งเด็กปั้นลงแล้วโดนแอสตัน วิลล่าถลุงหมดสภาพในนัดเปิดสนามของปี 1995/1996 ทว่าเหล่าเด็ก ๆ จากอะคาเดมี่ที่ถูกผู้จัดการทีมชาวสก็อต อเล็กซ์ เฟอร์กูสันดันขึ้นมาพร้อมกันทั้งไรอัน กิ๊กส์, นิกกี้ บัตต์, พอล สโคลส์, เดวิด เบ็คแฮม, พี่น้องเนวิลล์ ซึ่งเป็นผู้เล่นชุดแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ปี 1992 กลายเป็นกำลังหลักที่ช่วยให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ในบั้นท้ายได้แบบหักหน้ากันไป

เมื่อผ่านมาตามช่วงเวลา นักเตะในคลาส’92 ก็พากันเกษียณตัวเองจากสนามฟุตบอล อยู่นักเตะในชุดนี้ก็มีข่าวว่าสนใจร่วมหุ้นกันซื้อสโมสรซัลฟอร์ด ซิตี้ เอฟซี ทีมระดับนอกลีกเล็ก ๆ ทีมหนึ่งที่เตะอยู่ในเมืองแมนเชสเตอร์ โดยมีไรอัน กิ๊กส์, แกรี่ เนวิลล์, ฟิล เนวิลล์, พอล สโคลส์และนิกกี้ บัตต์ลงหุ้นคนละ 10% เข้ามาเป็นเจ้าของร่วมในฤดูกาล 2014 พร้อมตั้งเป้าจะไปแชมเปี้ยนชิพ ลีกระดับชั้นที่ 2 ของฟุตบอลอังกฤษภายใน 15 ปี ทั้งที่ตอนนั้นที่ยังอยู่ในระดับดิวิชั่นที่

เหล่านักเตะคนดังพากันหมุนเวียนเข้ามาที่สโมสรตามแต่โอกาส ทั้งเม็ดเงิน ประสบการณ์และแรงบันดาลใจของเหล่าอดีตแข้งผีแดงกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้สโมสรเดินหน้าอย่างมั่นคง รวมไปถึงการที่ได้นายทุนเงินหนาชาวสิงคโปร์อย่างปีเตอร์ ลิมที่เป็นเจ้าของทีมบาเลนเซียมาซื้อหุ้นสโมสรครึ่งที่เหลือ ทำให้ทุกอย่างในสโมสรพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ปีนั้นพวกเขาคว้าแชมป์และเลื่อนชั้นได้ทันที ตามด้วยเลื่อนชั้นอีกรอบในปีต่อมาทำให้สโมสรมาหยุดอยู่ที่ระดับ 6 และตอนนั้นเองที่สโมสรเริ่มเซ็นสัญญานักเตะอาชีพเต็มตัวกับผู้เล่นบางคนเป็นครั้งแรก

กราฟพุ่งขึ้นของซัลฟอร์ด ซิตี้ยังไม่จบเมื่อพวกเขาอยู่ในระดับเนชั่นลีก นอร์ธได้เพียง 2 ปีก็สามารถเลื่อนชั้นได้อีกด้วยการคว้าแชมป์ฤดูกาล 2017/2018 ทำให้ฤดูกาลนี้ซัลฟอร์ด ซิตี้ ทีมของบรรดาแข้งคลาส’92 ได้เล่นเนชั่น ลีก ระดับที่อยู่ต่ำกว่าฟุตบอลอาชีพแค่ขั้นเดียวเท่านั้น

ด้วยความที่นักเตะในยุคเดียวกันมาเป็นเจ้าของทีม พวกเขาเลยมักไปปรากฏตัวที่สนามมัวร์ เลน ซึ่งความจริงมันเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นเพนนินซูล่า สเตเดี่ยมตามสปอนเซอร์ แต่ทุกคนก็ยังมักเรียกอย่างนั้นตามความเคยชินที่ใช้มาตั้งแต่ปี 1978 สมัยที่มีแฟนบอลหลักร้อยจนเพิ่มมาเป็นความจุ 5,108 คนในปัจจุบัน

ไม่ใช่แค่นักเตะกลุ่มที่เป็นเจ้าของ พวกเขามักใช้สนามบอลแห่งนี้เป็นที่พบปะโดยการเชิญเหล่าคนคุ้นเคย อาทิ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เพิ่งไปนั่งดูเกมเมื่อวันปีใหม่ แถมบางครั้งนักเตะรุ่นเก่าที่รู้จักพวกเจ้าของทีมก็แวะมาเยี่ยมกันด้วย ทำให้ซัลฟอร์ด ซิตี้เหมือนห้องรับแขกของแข้งผีแดงไปในตัว

เพราะการที่แข้งดังรุ่นขวัญใจเด็กผีมาเป็นเจ้าของทีมนี่เอง ที่ทำให้สาวกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจำนวนมากเอาใจช่วยสโมสรน้องให้ประสบความสำเร็จโดยเร็ว เผื่อว่าวันหนึ่งจะได้ก้าวขึ้นไปถึงจุดที่ตั้งเป้าไว้โดยเร็ว เพราะอีกแค่ 3 ก้าวเท้านั้นก็ถึงแชมเปี้ยนชิพแล้ว