Archives (page 4 of 6)

ภารกิจการผ่าตัดทีมครั้งใหญ่ของ ยูไนเต็ด

มีพบเจอก็ต้องมีลาจาก เมื่อบรรดาสโมสรทั้งหลายต่างจำเป็นต้องปลดระวางนักเตะบางคนออกจากทีม โดยถึงแม้จะมีความผูกพันกับเหล่านักเตะมากเพียงใด ก็จำต้องปล่อยให้นักเตะเหล่านั้นเดินจากไปเพื่อให้สโมสรสามารถเดินหน้าคว้าความสำเร็จต่อไปได้ เปรียบได้กับยานพาหนะที่เมื่อถึงเวลาต้องได้รับการบำรุงรักษา อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายอะไหล่ของเก่าออกไปบ้าง และนำของใหม่มาใส่เพื่อให้กลับมาขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อีกครั้ง

                เมื่อหันมามองที่สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ล่าสุดได้ประกาศแต่งตั้ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการ ภายหลังการทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในตอนได้รับโอกาสเข้ามาคุมทีมชั่วคราว ซึ่งหาก โซลชา ต้องการพาทีมเดินหน้าเพื่อท้าทายความสำเร็จ อาจจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนถ่ายนักเตะบางรายที่ไม่อยู่ในแผนงานที่วางไว้ในอนาคต เพื่อเปิดทางให้เหล่าบรรดานักเตะใหม่ได้เข้ามาสู่สโมสร

แล้วนักเตะรายใดบ้าง ที่เข้าข่ายในการที่สโมสรจำเป็นที่จะต้องถ่ายเลือดเก่าออกจากทีม

                มาร์กอส โรโฮ ปราการหลังชาวอาร์เจนตินา ที่อดีตผู้จัดการทีมอย่าง หลุยส์ ฟาน กัล ซื้อเข้ามาเพื่อใช้งานเป็นตัวหลักในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็คฝั่งซ้าย โดยได้ลงสนามอย่างต่อเนื่องมาจนถึงในช่วงแรกๆของยุคกุนซือ โชเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งโดยรวมแล้วถือว่าทำผลงานได้ค่อนข้างดีเสมอเมื่อได้รับโอกาส แต่ติดปัญหาที่ว่า ปราการหลังรายนี้มักจะประสบปัญหาอาการบาดเจ็บอยู่เสมอ ทำให้ไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างต่อเนื่อง และหากมองไปที่สถิติในการลงสนามจะพบว่า  มีโอกาสลงเล่นรวมกันทั้งสิ้นไม่ถึง 50 นัดตลอด 4 ฤดูกาลหลังสุด

                มัตเตโอ ดาร์เมียน แบ็คขวาชาวอิตาลี ผู้ที่ภายหลังการลงสนามในช่วงแรก แฟนบอลต่างขนานนามว่า เขาคือ

แกรี่ เนวิลล์ คนใหม่แห่งยูไนเต็ด แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นาน กลับประสบปัญหาไม่สามารถปรับตัวเข้ากับลีกอังกฤษได้เลย จนส่งผลให้มักจะถูกเลือกเป็นตัวสำรองอยู่เสมอ โดยตลอดการลงเล่นให้กับสโมสร ดาร์เมียน มีสถิติการลงเล่นรวมกัน 4 ฤดูกาลไม่ถึง 50 นัด เช่นเดียวกับในรายของ มาร์กอส โรโฮ

                อันโตนิโอ วาเลนเซีย หนึ่งในมรดกที่ตกทอดมาจากยุคสมัยที่รุ่งเรืองของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตตำนานผู้จัดการทีมของสโมสร โดยในกรณีของ วาเลนเซีย นั้น สัญญากับสโมสรจะหมดลงเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลนี้ และจากการที่เจ้าตัวอยู่ในวัยที่โรยราแล้ว ทำให้ทาง โซลชา น่าจะถือโอกาสในการถ่ายเลือดเก่า และดันดาวรุ่งอย่าง ดีโอโก้ ดาล็อต สลับกับทาง แอชลีย์ ยัง ที่พึ่งได้รับการต่อสัญญาไปมากกว่า

                อเล็กซิส ซานเชซ ปีกซ้ายที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงที่สุดของสโมสร ที่ตอนแรกสโมสรหวังซื้อเพื่อตัดหน้าคู่แข่งอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาในเกมรุกของทีม แต่ปรากฏว่า นี่ไม่ใช่ อเล็กซิส ซานเชซ คนเดิมที่เหล่าแฟนบอลเคยรู้จัก เมื่อพบว่าปัจจุบัน ดาวเตะรายนี้ทำผลงานได้น่าผิดหวังมากที่สุดคนหนึ่งของทีมในขณะนี้

                โดยทั้งหมดที่กล่าวมา ยังไม่รวมถึงในรายของ ฆวน มาต้า หรือ อันเดร์ เอร์เรร่า ที่สัญญากับสโมสรใกล้จะหมดลงในเร็ววัน ฉะนั้นแล้ว สโมสรควรดำเนินการตัดสินใจให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้เตรียมพื้นที่ว่างสำหรับเฟ้นหานักเตะที่จะเข้ามาเติมเต็มศักยภาพของทีม และพา ยูไนเต็ด กลับมาสู่เส้นทางความสำเร็จอีกครั้ง

สามสุดยอดขุนพล ที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดในขณะนี้

ตลอดการสู้ศึกฟุตบอลทวีปยุโรปในฤดูกาลนี้ ได้เกิดการแข่งขันกันอย่างดุเดือดในทุกๆ ประเทศ โดยทุกสโมสรต่างต้องการคว้าถ้วยรางวัลภายในประเทศ และถ้วยรางวัลที่แข่งขันกันในระดับทวีปเพื่อนำมาเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จของสโมสร แต่แน่นอนว่าหากไม่มีขุนพลชั้นนำที่จะคอยทะลวงตาข่ายคู่ต่อสู้เพื่อโจมตีทีมคู่แข่งให้พ่ายแพ้ในการสู้ศึกนั้น คงเป็นการยากที่จะประสบความสำเร็จได้

แล้วเหล่าขุนพลที่จะคอยทะลวงปราการหลังคู่แข่งให้กับสโมสร และกำลังผลงานได้อย่างโดดเด่นเป็นที่จับตามองในขณะนี้มีใครกันบ้าง

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หนึ่งในดาวยิงชั้นนำตลอดทศวรรษชาวโปรตุเกสของสโมสร ยูเวนตุส ที่อายุไม่อาจรั้งฝีมือหรือศักยภาพในตัวนักเตะรายนี้ได้เลย โดยในปัจจุบันถึงจะเข้าสู่วัย 34 ปีแล้ว ก็ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จากผลงานตลอดการลงเล่นในฤดูกาลนี้ โรนัลโด้ มีส่วนร่วมกับประตูของสโมสรที่ทำได้เฉลี่ยทุกๆ 83 นาทีที่ได้ลงสนาม โดยคิดเป็นค่าเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 1.08 ประตูต่อ ชนะการดวลกลางอากาศเฉลี่ยต่อเกม 1 ครั้ง เปอร์เซ็นต์การผ่านบอลสำเร็จ 85.3 เปอร์เซ็นต์ และสร้างโอกาสยิงในแต่ละเกมเฉลี่ยสูงถึง 6.1 ครั้ง เรียกได้ว่านับตั้งแต่การย้ายมาของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้จุดประกายความหวังแก่เหล่าแฟนบอล ยูเวนตุส ว่า จะสามารถนำพาสโมสรกลับไปประสบความสำเร็จในเวทียุโรปอีกครั้ง

คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ดาวยิงวัยคะนองแห่งสโมสร ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ดีกรีดาวรุ่งผู้สามารถพาทีมชาติฝรั่งเศส คว้าแชมป์โลกสมัยล่าสุดไปครองได้สำเร็จ และถือว่าเป็นดาวรุ่งที่ได้รับการจับมองมากที่สุดในขณะนี้ โดยตลอดการลงเล่นในฤดูกาลนี้ของเจ้าหนู เอ็มบัปเป้ มีสถิติการเลี้ยงผ่านคู่แข่งสำเร็จเฉลี่ยสูงถึง 2.3 ครั้งต่อเกม มีส่วนร่วมกับประตูที่ทางสโมสรทำได้ในทุกๆ 65 นาที คิดเป็นค่าเฉลี่ยการมีส่วนร่วมกับประตูสูงถึง 1.39 ประตูต่อเกม จึงเป็นเหตุให้ยามใดที่สโมสรขาดดาวยิงอย่าง เนย์มาร์ หรือ เอดินสัน คาวานี่ เหล่าแฟนบอลต่างไม่เคยแสดงความรู้สึกกังวลแต่อย่างใด หากมีศูนย์หน้าดาวรุ่งชาวฝรั่งเศสรายนี้อยู่ในสนาม

และแน่นอนว่าในรายสุดท้าย คงเป็นเรื่องน่าแปลกใจหากจะไม่พูดถึงศูนย์หน้าผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์อย่าง
ลิโอเนล เมสซี่ ดาวยิงกัปตันสโมสร บาร์เซโลน่า ที่ในฤดูกาลนี้กลับมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้ง เมื่อมีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูที่สโมสรทำได้เฉลี่ยสูงถึง 1.57 ต่อเกม หรือในทุกๆ 57 นาทีที่ได้อยู่ในสนาม ยิ่งไปกว่านั้น เมสซี่ ยังมีสถิติการจ่ายลูกสร้างสรรค์โอกาสและการเลี้ยงผ่านคู่แข่งสำเร็จเฉลี่ยต่อเกมสูงถึง 3.1 ครั้งและ 3.8 ครั้งตามลำดับ โดยถ้าหากนับเฉพาะสถิติที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ลิโอเนล เมสซี่ ถือว่าเป็นนักเตะกองหน้าที่กำลังทำผลงานได้ดีที่สุดในทวีปยุโรปตลอดทั้งฤดูกาลนี้

สามผู้บัญชาแดนกลางแห่งฤดูกาล 2018/2019

เป็นที่รู้กันว่า ผู้เล่นในตำแหน่งกองกลางถือเป็นตำแหน่งสำคัญในสนามที่อาจเป็นตัวชี้วัดในศึกการแข่งขันที่ดุเดือด เนื่องจากเป็นจุดศูนย์กลางยุทธศาสตร์ในสนามรบที่จะช่วยเติมเต็มศักยภาพในการเล่นเกมรุกและเกมรับของทีม  เปรียบเสมือนฐานบัญชาการกองทัพที่จะคอยวางแผนส่งกำลังพลไปช่วยเหลือทัพในแดนหน้าหรือแดนหลัง เพื่อเติมเต็มประสิทธิภาพและให้เกิดเสถียรภาพความมั่นคงเพื่อกำชัยชนะในภายหลัง

ในขณะที่การแข่งขันฟุตบอลทั่วทั้งทวีปยุโรปในฤดูกาล 2018/2019 ได้ขับเคลื่อนมาจนถึงช่วงโค้งสุดท้ายของเกมการแข่งขัน สโมสรในแต่ละประเทศต่างกำลังมุ่งมั่นในการทำผลงานให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วมีนักฟุตบอลในแดนกลางคนไหนบ้าง ที่กำลังทำผลงานได้อย่างร้อนแรงมากที่สุดตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา และพาสโมสรเก็บผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอยู่ในขณะนี้

ดาบิด ซิลบา กองกลางชาวสเปนของสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถือเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่กำลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ภายใต้การฝึกสอนของผู้จัดการทีมอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โดยจุดเด่นของ ดาบิด ซิลบา อยู่ที่การสร้างสรรค์โอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม จากสถิติจะพบว่า ซิลบา มีสถิติการผ่านบอลสร้างสรรค์โอกาส 2.3 ครั้งต่อเกม และมีส่วนร่วมกับประตูทุกๆ
 166 นาทีที่ลงสนาม เรียกได้ว่าในยามที่ เควิน เดอ บรอยน์ มิดฟิลด์ตัวสร้างสรรค์เกมของทีมได้รับบาดเจ็บหรือโชว์ฟอร์มไม่ออกในฤดูกาลนี้ ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อรูปเกมมากนัก ตราบใดที่กองกลางรายนี้ได้บัญชาการเกมรุกอยู่ในสนาม

ปอล ป็อกบา กองกลางชาวฝรั่งเศส ดีกรีเจ้าของแชมป์โลกสมัยล่าสุดจากสโมสรปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ภายหลังการได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งกับผู้ที่ปลุกปั้นเขามาในวัยเยาว์อย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา นั้น ทำให้ ป็อกบา ถือว่าเป็นมิดฟิลด์ที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดในยุโรปถ้านับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีสถิติการมีส่วนร่วมกับประตูทุกๆ
118 นาที คิดเป็นค่าเฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 0.76 ประตูต่อเกม ในขณะเดียวกันมีโอกาสการยิงประตูอยู่ที่ 3.2 ครั้งต่อเกม รวมถึงมีสถิติชนะการดวลกลางอากาศและสามารถเรียกฟาวล์สำเร็จต่อเกมอยู่ 1.7 ครั้ง และ 2 ครั้งตามลำดับ

และในรายสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ ติอาโก้ อัลคันทาร่า กองกลางชาวสเปนที่สังกัดสโมสร บาเยิร์น มิวนิค ที่ถือได้ว่าเป็นนักเตะในตำแหน่งมิดฟิลด์ที่มีความสามารถครบเครื่องที่สุดคนหนึ่งของยุโรป การันตีด้วยสถิติการผ่านบอลสำเร็จคิดเป็นเปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 92.3 เปอร์เซ็นต์ สกัดคู่แข่งสำเร็จเฉลี่ย 3 ครั้งต่อเกม แย่งบอลจากเท้าคู่แข่งสำเร็จต่อเกมอยู่ที่ 1.3 ครั้ง รวมถึงมีสถิติการเลี้ยงผ่านคู่แข่งและสถิติการจ่ายบอลยาวสูงถึง 1.9 และ 7.4 ครั้งตามลำดับ โดยหากนับเฉพาะมิดฟิลด์ที่คอยทำเกมจากแดนหลังนั้น ติอาโก้ อัลคันทาร่า ถือเป็นนักเตะที่ทำสถิติได้ดีที่สุดในทวีปยุโรปตลอดฤดูกาลนี้

แข้งล้นทีม ปล่อยยืมล้นโลก

คริสเตียน พูลิซิชเซ็นสัญญาย้ายทีมเข้าเป็นสมาชิกของสโมสรเชลซี แต่เขาจะกลับไปเล่นให้ดอร์ทมุนด์ต้นสังกัดเก่าแบบยืมตัว มันตลกตรงที่พูลิซิชเป็นแข้งรายที่ 42 ของเชลซีที่ปล่อยให้สโมสรอื่นยืมตัวไปเล่นในขณะนี้

ผู้เล่นอายุน้อยจำนวนมากจากทั่วโลกถูกเชลซีดึงมารวมทีมด้วยเหตุผลว่า แมวมองของเชลซีคิดว่าเด็กเหล่านี้มีพรสวรรค์มากพอที่จะเติบโตมาเป็นกำลังให้ทีมในอนาคตได้ แต่ในเมื่อยังไม่สามารถเบียดขึ้นสุ่ทีมชุดใหญ่ พวกเขาก็ต้องป้องกันไม่ให้เด็ก ๆ ขาดพัฒนาการ การส่งเด็กไปเล่นในสโมสรอื่นแบบยืมตัวจะช่วยให้พวกเขาพัฒนาตัวเองขึ้นมาจากโอกาสที่ได้ลงเล่น นับเฉพาะในตอนนี้ แข้งเชลซีที่ถูกยืมตัวไปใช้งานมีถึง 42 รายใน 11 ประเทศ 21 รายในอังกฤษ 1 รายในสก๊อตแลนด์ 1 รายในไอร์แลนด์เหนือ 4 รายในฮอลแลนด์ 2 รายในเยอรมัน 1 รายในเบลเยี่ยม 1 รายในเซอร์เบีย 2 รายในฝรั่งเศส 3 รายในอิตาลี 4 รายในสเปนและ 1 รายในบราซิล แต่ในจำนวนนี้เป็นการยืมตัวแบบเป็นทางการเพียง 18 รายเท่านั้น

เหตุผลที่สโมสรเชลซีกวาดต้อนแข้งเหล่านี้เข้าสู่สโมสรได้จำนวนมากก็เพราะพวกเขามีเครือข่ายแมวมองอยู่ทั่วโลก และเพราะไม่ได้มีแค่พวกเขาสโมสรเดียว ทำให้พวกเขากลัวว่าถ้าพวกเขาได้รู้ว่าเด็กคนหนึ่งมีพรสวรรค์สูงพอพัฒนาได้ ถ้าไม่คว้าเข้าทีมก็ต้องโดนทีมอื่นคว้าไปแน่นอน ดังนั้นเหตุผลหลักที่เชลซีดึงเด็ก ๆ เข้าทีมมากก็เพราะ หนึ่ง พวกเขาอาจจะได้เพชรเม็ดงามและสอง ทีมอื่นจะได้ไม่คว้าเอาไป

ในขณะเดียวกันสโมสรอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ก็มีผู้เล่นที่ปล่อยยืม 11 ราย ลิเวอร์พูล 6 ราย เอฟเวอร์ตัน 13 ราย วูล์ฟแฮมตัน 14 ราย โดยไม่มีสโมสรไหนเลยในพรีเมียร์ลีกที่ไม่มีนักเตะปล่อยยืมตัว ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นแค่ในอังกฤษ เพราะทีมใหญ่ในลีกอื่น ๆ ก็มักเป็นผู้เล่นดาวรุ่งเข้าสโมสรแล้วปล่อยยืมเช่นกัน ตัวอย่างเช่น โมนาโกในลีก เองที่ปล่อยยืม 9 ราย หรือในลา ลีก้า สเปน ก็มีทีมปล่อยยืมจาก 18 ทีมมากถึง 85 คน

ฟีฟ่าเองเห็นอันตรายในเรื่องนี้และพยายามที่จะเข้ามาจัดการ การกำหนดหลักเกณฑ์อย่างเช่นการจำกัดจำนวนนักเตะที่ย้ายแบบยืมตัวในคราวเดียวกันจะต้องไม่เกิน 8 รายถูกขู่จะนำมาใช้ แต่ฟีฟ่าก็ยังลงมือไม่ได้เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องการควบคุมปริมาณนักเตะของแต่ละสโมสรเท่านั้น หากแต่ยังกระทบไปถึงแนวทางบริหารเชิงธุรกิจของสโมสรด้วย

หลายสโมสรเล็กยินยอมพร้อมใจที่จะขายผู้เล่นที่มีคุณภาพและมีอนาคตของพวกเขาให้ทีมใหญ่ โดยมีเงื่อนไขขอยืมตัวไว้ใช้งาน เป็นการวิน-วินทั้งสองฝ่าย เพราะสโมสรใหญ่ก็สามารถซื้อดาวรุ่งในราคาถูกและสามารถดึงมาใช้งานได้หากพวกเขาพัฒนาฝีเท้าขึ้นมา ขณะที่ทีมเล็กก็ได้เงินแถมยังมีนักเตะใช้งาน ส่วนนักเตะก็ได้โอกาสในการแสดงฝีเท้าอย่างมีเป้าหมาย

มันยังเป็นเรื่องยากของฟีฟ่าที่จะจัดการเรื่องนี้ เพราะลึกลงไปแล้วสโมสรต่างก็พึ่งพาอาศัยกันอยู่ การจะมาหักดิบจำกัดจำนวนผู้เล่นเพื่อให้เกิดสมดุลในระบบฟุตบอลนั้นน่าจะไม่ใช่ทางออกที่ถูก นักเตะเองก็รู้ว่าพวกเขาอยู่บนเส้นทางเสี่ยงโชค ถ้าพวกเขามีโอกาสได้ลงเล่นให้ทีมใหญ่ก็มีสิทธิ์ได้ทั้งชื่อเสียงและรายได้ที่ดีกว่า เมื่อถูกเล็งโดยทีมใหญ่ ใครล่ะจะไม่ยากเสี่ยงวัดดวงดู

 

คริสเตียน พูลิซิช เด็กน้อยผู้เทใจให้ทีมนอกลีก

กลายเป็นข่าวฮือฮาว่าคริสเตียน พูลิซิชตัดสินใจย้ายมาร่วมทีมเชลซีในฤดูกาลหน้าเรียบร้อย แต่นี่ไม่ใช่เรื่องราวฟุตบอลในแผ่นดินผู้ดีหนแรกของหนุ่มน้อยสัญชาติอเมริกัน เพราะเขามีความผูกพันกับการเตะลูกหนังที่แบร็กเล่ย์ ทาวน์มาก่อน

พูลิซิซ กองหน้าดาวรุ่งสัญชาติอเมริกันมาทำอะไรที่อังกฤษ?

เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนไปว่าเขาเกิดที่เพ็นซิลวาเนียในสหรัฐอเมริกา ในครอบครัวที่มี แต่พออายุได้เจ็ดขวบ เคลลี่ ผู้เป็นแม่ได้รับทุนแลกเปลี่ยนให้มาเรียนและทำงานที่อังกฤษ​ พวกเขาทั้งครอบครัวตัดสินใจย้ายมาอยู่อังกฤษ และพูลิซิชน้อยก็ได้หัดเล่นฟุตบอลครั้งแรกที่สโมสรแบร็กเล่ย์ ทาวน์ ทีมท้องถิ่นในน็อธแธมตันเชียร์ตั้งแต่ตอนนั้น

โค้ชโรบิน วอล์กเกอร์ ผู้ดูแลทีมในช่วงดังกล่าวกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกับครอบครัวพูลิซิชจนถึงปัจจุบัน เขาพาคริสเตียนไปเล่นทัวร์นาเม้นท์ต่าง ๆ และทำให้เจ้าหนูตกหลุมรักฟุตบอลหัวปักหัวปำ ไม่ว่าจะวันเรียนหรือวันหยุด คริสเตียน พูลิซิชจะหิ้วลูกบอลวิ่งออกไปยังสนามเด็กเล่นและเตะบอลกับเด็กทุกรุ่นอายุ ตอนนั้นครอบครัวพูลิซิชได้พาเขาไปดูสโมสรต่าง ๆ ทั้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ และสโมสรในระดับล่างอีกหลายสโมสร แต่พูลิซิชไม่ชอบทีมไหนเลยเพราะตอนนั้นทีมอันดับหนึ่งในดวงใจของเขาหนีไม่พ้นแบร็กเล่ย์ เอฟซี ทีมท้องถิ่นประจำเมืองที่อยู่ในดิวิชั่น 10 ของฟุตบอลอังกฤษ พูลิซิชอยู่กับทีมเยาวชนของสโมสรจนกระทั่งเขาเดินทางกลับอเมริกา ในปี 20

มาร์ก พูลิซิช อดีตผู้เล่นมหาวิทยาลัยได้งานผู้จักการทีมฟุตบอลในร่มที่มิชิแกน ครอบครัวพูลิซิชย้ายมายังมิชิแกน และพูลิซิชก็ได้เล่นให้ทีมมิชิแกน รัช ก่อนจะกลายเป็นนักเตะของศูนย์พัฒนาฝีเท้าที่ดูแลโดยสมาคมฟุตบอลของอเมริกา ซึ่งตอนนี้เองที่ความสามารถของพูลิซิชเริ่มถูกกล่าวถึงและไปเข้าตาแมวมองของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

ดอร์ทมุนด์ไปค้นหาจนพบว่าคุณปู่ของพูลิซิชเป็นชาวโครเอเชีย ทำให้เขาเข้าเงื่อนไขที่จะไม่ต้องขอวีซ่าทำงาน เมื่อรู้แบบนี้สโมสรเมืองเบียร์ก็บุกถึงบ้านเพื่อยื่นข้อเสนอให้คริสเตียน พูลิซิชเข้าสู่อะคาเดมี่ของทีมเสือเหลือง และยินดีรับมาร์กเข้าเป็นสต๊าฟโค้ชของรุ่นต่ำกว่า 10 ปีให้สโมสรด้วย นั่นทำให้ครอบครัวพูลิซิชย้ายบ้านอีกครั้งจากอเมริกากลับสู่ยุโรป พูลิซิชเข้าร่วมอะคาเดมี่รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี และอย่างที่รู้กันเขากลายเป็นผู้เล่นทีมชุดใหญ่ของเสือเหลืองด้วยวัยเพียง 17 ปี ในเดือนมกราคม 2016 เขาก็ได้ลงเล่นเกมแรกให้ดอร์ทมุนด์ หลังจากที่โธมัส ทูเคิ่ล ผู้จัดการทีมไว้ใจในฝีเท้าของเขาว่าสูงพอ

สองเดือนต่อมาหลังจากลงเล่นนัดแรกในบุนเดสลีก้ากับอิงโกลสตัด เจอร์เก้น คลิ้นสมันน์ เฮดโค้ชทีมชาติสหรัฐก็เรียกตัวพูลิซิชขึ้นสู่ทำเนียบทีมชาติด้วยการลงเล่นเวิร์ลด์ คัพรอบคัดเลือกกับกัวเตมาลา

ชีวิตของพูลิซิชในเกมลูกหนังพาเขาไปไกลมาก ก่อนที่เชลซีจะตัดสินใจทุ่มซื้อเขามาร่วมทีมในฤดูกาลหน้าด้วยค่าตัว 58 ล้านปอนด์ ทำให้พูลิซิชจะได้กลับมายังจุดเริ่มต้นของตัวเองอีกครั้ง บางทีวันว่าง ๆ เขาอาจจะเลือกไปเยือนถิ่นเก่าที่แบร็กเล่ย์ ทาวน์และเตะบอลในสนามเด็กเล่นอีกสักทีก็เป็นได้

 

แฟนบอลผู้ดีกับความคลั่งไคล้สูงสุดในยุโรป

ในระหว่างการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ทางบริษัทมาสเตอร์ การ์ดได้ทำการสุ่มเก็บข้อมูลแฟนบอลจากทั่วยุโรป เพื่อค้นหาว่าแฟนบอลชาติไหนที่เป็นเจ้าของความคลั่งไคล้สูงสุดในเวทียุโรป ผลปรากฏว่าแฟนบอลผู้ดีคว้าอันดับหนึ่งไปครอง

ผู้เล่นคนที่ 12 ของทีมเมืองผู้ดีถูกเพื่อนแฟนบอลนานาชาติเลือกให้เป็นพวกที่น่าจะมีแพสชั่นสูงสุด จากคำถามว่า “ใครน่าจะเป็นชาติที่มีความคลั่งไคล้ในทีมของพวกเขามากที่สุด” โดย 1 ใน 3 ของผู้ทำแบบสอบถามเลือกอังกฤ​ษ ตามด้วยสเปนและอิตาลี ขณะที่อันดับสี่กลายเป็นตุรกี ทั้งที่น่าจะเป็นเยอรมันมากกว่า

และเมื่อเช็คลงไปในคำถามอื่น ๆ เช่น ถ้าให้ออกเดทกับคนที่เป็นแฟนทีมคู่อริ ปรากฏว่าแฟนบอลผู้ดีเลือกเซย์โนสูงถึง 11% ขณะที่ 15% จะให้ความสัมพันธ์เดินหน้าไป แต่เชื่อว่าสุดท้ายก็คงไปกันไม่รอด และมีถึง 10% ที่พร้อมชิ่งวันฮันนีมูนเพื่อไปชมเกมสำคัญ อย่างเช่น แชมเปี้ยนลีกนัดชิงชนะเลิศ ขณะที่อีก 25% ยินดีหาเรื่องลางานเพื่อดูนัดดังกล่าว และ 20% บอกแมตช์นี้สำคัญกว่าวันเกิดเพื่อนสนิท

เงื่อนไขด้านอายุในการเลือกเชียร์ทีมของอังกฤษก็น้อยที่สุด เมื่อเด็กอังกฤษอายุ 10 ขวบราว 36% จะต้องมีทีมเชียร์ในดวงใจแล้ว และมีถึง 10% ที่เชียร์ตั้งแต่เกิดตามครอบครัว แต่ที่อังกฤษก็มีอิสระในการเชียร์ทีมสูงกว่าอิตาลี เพราะแฟนบอลอิตาลีเป็นพวกสำนึกรักบ้านเกิดสูงสุด โดย 46% ของข้อมูลบอกว่าพวกเขาเชียร์ทีมบ้านเกิดเป็นทีมแรกและทีมเดียว ซึ่งมากสุดในกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามทั้งยุโรป

แม้จะรักทีมเข้าเส้นขนาดไหน แต่แฟนบอลผู้ดีก็เลือกที่จะจ่ายน้อยสำหรับเกมหนึ่งนัด ทั้งนี้อาจจะเพราะอังกฤษมีเกมใหญ่ ๆ เกมสำคัญ ๆ ให้ได้ดูบ่อย ขณะที่ตุรกีและรัสเซียเป็นสองชาติกระเป๋าหนักที่ยอมจ่ายแพงที่สุดขอเพียงให้ได้ดูเกมสำคัญนั้น

สถิติอื่น ๆ ที่น่าสนใจก็อย่างแฟนฮอลแลนด์ 41% ขอเลือกนั่งดูบอลทางทีวีดีกว่าไปสนาม แฟนบอลโรมาเนียเป็นพวกที่เลือกเชียร์เพราะผลงานมากที่สุด หรือแฟนบอลยูเครน 66% ถ้าเลือกได้ขอเห็นทีมรักเข้าชิงแชมเปี้ยนลีกแลกกับการถูกล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่ก็ได้

หลังประกาศผลสำรวจของมาสเตอร์ การ์ด ไรอัน กิ๊กส์ที่เป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ของมาสเตอร์ การ์ดในการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกก็ให้ความเห็นว่า “ผมเคยฝันว่าจะไปเล่นให้ทั่วโลกตลอดช่วงที่เป็นนักเตะ แต่ผมจะไม่แปลกใจเลยที่แฟนบอลอังกฤษกลายเป็นอันดับหนึ่ง ของกลุ่มคนที่มีความหลงใหลในฟุตบอลอย่างสูงสุด ค่ำคืนในเวทียุโรปถือเป็นอะไรที่สุดยอดมากในชีวิตผม และการออกไปเชียร์ทีมนอกบ้านก็เป็นอะไรที่สุด ๆ มาก”

การแสดงออกของแฟนบอลชาวเมืองผู้ดีจากช่วงฟุตบอลโลกได้บอกว่าพวกเขาเป็นชาติคลั่งฟุตบอลขนาดไหน ภาพกองเชียร์ของค่ำคืนในเวทียุโรปที่แอนฟิลด์ เสียงตะโกนเร่งเร้าของแฟนบอลในโอลด์ แทร็พฟอร์ด หรือเสียงเฮที่เอติฮัด สเตเดียมก็ไม่ต่างกัน มันแสดงถึงพลังงานความรักและความศรัทธาที่มีต่อทีมอย่างมาก ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยที่อังกฤษจะกลายเป็นชาติที่มีความหลงใหลในเกมแชมเปี้ยนลีกสูงสุดเหนือชาติอื่นในยุโรป

 

สิ่งที่สเปอร์ขาดไปในการเป็นทีมใหญ่อย่างถาวร

สโมสรท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ หรือ สเปอร์ที่เราคุ้นเคย ยอดทีมจากลอนดอนเหนือที่สร้างผลงานได้โดนเด่นในช่วงสี่ฤดูกาลหลังถึงขนาดเกือบเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่เลสเตอร์ ซิตี้สร้างความมหัศจรรย์ได้ พวกเขาพยายามสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นบิ๊กซิกส์ของพรีเมียร์ลีก แต่ไฉนยังดูห่างไกลจากการเป็นทีมใหญ่อย่างที่ต้องการ และนี่คือจุดด้อยที่สเปอร์เป็นอยู่

ความสำเร็จครั้งสุดท้ายเมื่อนานมาแล้ว

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสเปอร์เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษเพียง 2 ครั้งเท่านั้น และมันเกิดขึ้นในปี 1950/1951 กับฤดูกาล 1960/1961 นั่นแปลว่าพวกเขาไม่เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดมานานเกือบ 60 ปีแล้ว พอไปดูที่ถ้วยเอฟเอ คัพ หนสุดท้ายที่พวกเขาชูถ้วยแชมป์เกิดในปี 1990/1991 ซึ่งก็ผ่านมานานเกือบยี่สิบปีแล้ว ขณะที่ถ้วยแชมป์ใบสุดท้ายที่พวกเขาได้มาคือถ้วยลีก คัพก็เกิดขึ้นในฤดูกาล 2007/2008 ซึ่งผ่านมาแล้ว 10 ปี นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่ทีมที่คุ้นเคยกับการคว้าแชมป์เมื่อเทียบกับบิ๊กทีมรายอื่น

ขาดนักเตะระดับจะเป็นตำนาน

ในขณะที่สโมสรอื่นมีนักเตะที่กลายเป็นตำนานต่อรุ่นกันมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดสร้างเอริค คันโตน่า, และเดวิด เบ็คแฮม หรืออย่างเช่นลิเวอร์พูลมีสตีเว่น เจอราร์ดมาถึงโมฮาเหม็ด ซาลาห์ หรืออาร์เซนอลที่มีเธียร์รี่ อองรี สเปอร์กลับไม่มีผู้เล่นชั้นแม่เหล็กที่สามารถสร้างปรากฏการณ์อะไรบางอย่างที่สโมสรได้อย่างต่อเนื่อง นักเตะที่พอมีชื่อเสียงของสเปอร์ไม่แคล้วต้องย้ายออกไปจากทีมหรือไม่เช่นนั้นก็ฟอร์มตกลง ทั้งลูก้า โมดริช ที่ได้บัลลงดอร์หรือแกเร็ธ เบลที่ย้ายไปประสบความสำเร็จกับราชันชุดขาว นักเตะที่เข้าข่ายตอนนี้ก็มีเพียงแฮร์รี่ เคนเท่านั้น ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะอยู่กับทีมไปอีกนานแค่ไหน

เจ้าของใจไม่ใหญ่

สเปอร์เป็นสโมสรที่มีปัญหาในการซื้อผู้เล่น พวกเขาใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวังมากเกินไป และให้ความสำคัญกับผลกำไรเสียจนเลือกขายผู้เล่นคนสำคัญออกไปแลกกับกำไรค่าตัว แม้กระทั่งในฤดูกาลปัจจุบันที่พวกเขาควรต่อยอดทีมที่กำลังเข้าที่เข้าทางด้วยผู้เล่นที่โปเช็ตติโน่อยากได้ ปรากฏว่าสโมสรยื่นคำขาดว่าจะไม่ซื้อผู้เล่นถ้าไม่ขายตัวเก่าออกไป เพราะพวกเขาเอาเงินไปทุ่มสร้างสนามใหม่ ผิดกับลิเวอร์พูลที่สนามใหม่ก็ต่อเติม แต่ยังเจียดเงินอีกส่วนสำหรับการสร้างทีมให้ผู้จัดการทีมเอาไปใช้

อะคาเดมี่ปั้นเด็กได้น้อย

อะคาเดมี่ของสเปอร์มีเจ้าหน้าที่ทั้งฟูลไทม์และพาร์ทไทม์รวม 30 คนและมีเครือข่ายแมวมองทั่วโลกราว 35 คน รับผิดชอบดูแลเด็กอายุ 8 ถึง 18 ปีได้ราว 150 คน ซึ่งมันน้อยมากเมื่อเทียบกับโอกาสของนักเตะที่จะกลายเป็นเพชรในอนาคต ตลอดช่วงหลายปีมานี้สเปอร์สร้างนักเตะชั้นยอดขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่น้อยมาก ยิ่งชุดปัจจุบันมีเพียงแฮร์รี่ เคน, แฮร์รี่ วิงส์, ไคลน์ วอล์กเกอร์-ปีเตอร์และแดนนี่ โรส 4 รายเท่านั้นที่เป็นผู้เล่นของสโมสรที่เติบโตมาจากอะคาเดมี่

ผลงานใน 3 ฤดูกาลหลัง สเปอร์อาจจะจบด้วยโควต้าไปแชมเปี้ยนลีกได้อย่างต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังอยู่ห่างไกลจากความน่าเกรงขามพอสมควร บางทีพวกเขาอาจจะต้องปฏิวัติแนวทางบางอย่างของสโมสร เช่น การแหวกเพดานค่าใช้จ่ายเพื่อรั้งตัวผู้เล่น หรือการทุ่มซื้อนักเตะชั้นเลิศเข้ามาบ้าง ยิ่งตอนนี้พวกเขากำลังจะมีสนามใหม่ที่ความจุเพิ่มขึ้น หากใช้แนวคิดรอใช้หนี้ค่าสนามเสร็จค่อยขยับ พวกเขาอาจจะหล่นลงไปอยู่ข้างล่างทั้งที่ไต่ขึ้นมาจะถึงยอดอยู่แล้วก็ได้

 

 

โอมาร์ โมมานี่ สีสันฟุตบอลในลายเส้นล้อเลียน

โอมาร์ โมมานี่อาจจะเป็นนักวาดการ์ตูนล้อที่ดังที่สุดในหมู่คอบอล งานของเขามีลายเส้นสนุกและเรื่องราวก็เข้าใจได้ถึงแฟนบอลทั่วโลกโดยเฉพาะการที่เขาเป็นนักการ์ตูนนิสต์ของเว็บไซต์โกล เว็บฟุตบอลที่มีคนติดตามมากอันดับต้น ๆ บนโลกโซเชียล

ผลงานของโอมาร์นั้นผ่านสายตาคนนับล้าน ๆ ในแต่ละสัปดาห์เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวงการฟุตบอลทั้งในและนอกสนาม เขาจะหยิบเอาเหตุการณ์ต่าง ๆ มาเป็นหัวเชื้อในการปั่นป่วน และล้อเลียนอย่างมีเสน่ห์ แต่กว่าจะปีนป่ายขึ้นมาจากจุดอันต่ำต้อยในฐานะนักวาดการ์ตูนในกรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน ดินแดนบ้านเกิดสู่วันที่ผู้คนรู้จักมันไม่ใช่เส้นทางที่ง่ายเลย

“ผมรู้จักฟุตบอลครั้งแรกสักราว 1986 จากหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ที่พ่อซื้อมาอ่าน ปกมันเป็นรูปมาราโดน่า ผมถามพ่อว่านี่คือใคร พ่อบอกว่านี่คือมาราโดน่า นักเตะที่เก่งที่สุดในโลก นั่นแหละเรื่องราวของฟุตบอลและนักฟุตบอลคนแรกที่ผมรู้จัก” โมมานี่ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารฟุตบอลไทม์ถึงวันเก่าของเขา

“ไม่นานแม่ก็ซื้อเสื้อยืดที่มีรูปมาราโดน่าพิมพ์อยู่ให้ และผมก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเด็กคนไหน ๆ ก็พากันสะสมสติ๊กเกอร์พานินี่ (สติ๊กเกอร์ลิขสิทธิ์ที่พิมพ์ภาพนักฟุตบอลดังของโลก) และใครก็อยากได้มาราโดน่ากันทั้งนั้น” จากนั้นเขาก็ได้เห็นมาราโดน่าในเวอร์ชั่นการ์ตูนล้อครั้งแรกราวปี 1990 ทำให้เขาเริ่มอยากเห็นผู้เล่นคนอื่น ๆ บ้าง และกลายเป็นการนำพาเขามาสู่การวาดการ์ตูนล้อเอง

ความคู่ไปกับการดูฟุตบอล โมมานี่หลงรักในการ์ตูนฮีโร่มาก ๆ เขาตัดสินใจจะเป็นนักข่าวหรือนักเล่าเรื่องที่สร้างสรรค์ในรูปแบบการ์ตูน ทำให้เขาเน้นลึกลงไปที่องค์ประกอบซึ่งทำให้เขาหลงรักเกมการแข่งขัน ความแข็งแกร่งของผู้เล่น เทคนิคและพรสวรรค์ สไตล์ที่สวยงาม รวมไปถึงความแตกต่างในแต่ละตัวบุคคลที่นักฟุตบอลมี

รูปแรกที่โมมานี่วาดเผยแพร่ไม่ใช่เรื่องของฟุตบอล เขาวาดเรื่องราวของยัตเซอร์ อาราฟัต อดีตผู้นำปาเลสไตน์กับยิตซัค ราบิน อดีตนายกรัฐมนตรีอิสราเอล ซึ่งเกิดขึ้นตอนเขาอายุ 14 ปีเท่านั้น เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนชอบให้เขาวาดรูปเพราะเขาวาดได้สวย ทั้งภาพการ์ตูนดัง ภาพล้อพวกคุณครูซึ่งพวกครูไม่มีใครชอบเรื่องนี้สักคน และเขาถูกทำโทษบ่อยมากและโดนครูสั่งห้ามวาด แต่เขาก็ไม่เคยหยุดมันเลย

โมมานี่นับได้ว่าเป็นเด็กจอร์แดนหัวสมัยใหม่โดยแท้ เพราะน้อยคนนักที่จะฝันถึงการทำงานในอุตสาหกรรมบันเทิงหรือเป็นศิลปินเพราะมันไม่มีอนาคตแถมไม่ได้ให้เงินตอบแทนสูง จากการเรียนคอมพิวเตอร์ประยุกต์ โมมานี่พบว่าโปรแกรมโฟโต้ช็อปกับแฟลชคือสิ่งที่เขาค้นหา มันทำให้เขาตัดสินใจเดินหน้าสู่งานอนิเมชั่นหลังเรียนจบ ซึ่งตอนนั้นประจวบเหมาะกับการขยายตัวของวงการทีวีในตะวันออกกลางที่กำลังอยากได้นักการ์ตูนอนิเมชั่นกลิ่นอายอาหรับโดยเฉพาะ

การ์ตูนของโอมาร์ โมมานี่สร้างลายเส้นและเรื่องราวที่สะดุดตาคน นักฟุตบอลดังหลายคนติดตามงานของเขาทั้งอิเคร์ กาซิลยาส, ลูคัส โพดอลสกี้หรือราเมดัล ฟัลเกา เขาถูกชักชวนเข้ามาเป็นนักวาดประจำของเว็บไซต์โกลที่ซึ่งทำให้ตัวการ์ตูนและลายเส้นของเขาสื่อสารออกไปในวงกว้างอย่างยิ่ง

“มันตลกตรงที่ครั้งหนึ่งผมไปร่วมงานอนิเมชั่นที่ดูไบ เจ้าของร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ติดโรงแรมทำอาหารเช้ามาให้ผม เขาเป็นแฟนอาร์เซน่อลและชอบโม้เรื่องอาร์เซน่อลกับแวงเกอร์ใหญ่เลย จนกระทั่งวันหนึ่งเขาถามผมว่าทำงานอะไร? ผมบอกว่าผมเป็นนักวาดการ์ตูน ปรากฏเขาถามว่าทำไมผมไม่วาดการ์ตูนฟุตบอลแบบโอมาร์ โมมานี่ซะล่ะ? ผมนี่หัวเราะลั่นเลย” โมมานี่เล่าอย่างขำขัน

จากความชอบสู่งานที่ทำเลี้ยงชีพ โมมานี่ยังคงสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้แฟนฟุตบอลได้เห็นเรื่องราวในอีกอารมณ์หนึ่งเสมอ ซึ่งแน่นอนว่าคุณต้องลุ้นและรอคอยติดตามผลงานต่อไปของเขาอยู่แน่ ๆ

 

เอเชี่ยนคัพ 24 ทีม โอกาสเล่นของทีมเล็ก

อีกไม่กี่อึดใจฟุตบอลเอเชี่ยน คัพ 2019 ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สงครามแข้งของทีมชาติในเอเชียจะเริ่มต้นขึ้น มันเป็นเกมหาทีมที่เก่งที่สุดในเอเชียซึ่งจัดมาแล้ว 16 ครั้ง แต่ครั้งนี้ซึ่งเป็นหนที่ 17 สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชียหรือเอเอฟซีตัดสินใจเพิ่มทีมเป็น 24 ทีม มากขึ้นจากครั้งก่อน 8 ทีม ทำให้มันเป็นการแข่งขันที่เข้มข้นและยาวนานขึ้น

มี 12 ทีมที่ได้อานิสงส์จากการที่เข้ารอบสุดท้ายรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2018 โซนเอเชีย โดยไม่ต้องไปเล่นคัดเลือกรายการเอเชี่ยนคัพอีก ทำให้ต้องมีการเพิ่มจำนวนทีมเข้ารอบให้มากขึ้นในการเล่นรอบที่ 3 ซึ่งรับได้เพิ่มอีก 12 ทีม แน่นอนว่าการเพิ่มทีมให้มากขึ้นย่อมเป็นโอกาสที่ดีของทีมชาติที่อยู่ในระดับกลาง ๆ และมันก็เป็นไปตามนั้นเพราะเหล่าทีมที่รอดเข้ารอบมาจากการคัดเลือกรอบหลัง มีแค่บาห์เรนกับเกาหลีเหนือที่พอจะเคยเข้าแข่งขันรอบสุดท้ายมากกว่าทีมอื่นที่ 5 กับ 4 ครั้ง และมีทีมที่ผ่านเข้ารอบมาแล้ว 3 ครั้งอย่างอินเดีย, โอมาน, จอร์แดนและเวียดนามได้โอกาสอีกครั้ง

ชาติเล็ก ๆ อย่างเลบานอน, ปาเลสไตน์, เติร์กเมนิสถาน เพิ่งมีโอกาสสัมผัสรายการใหญ่สุดนี้เป็นหนที่สอง แฟนบอลของพวกเขารู้สึกตื่นเต้นไม่ต่างจากชาติที่เพิ่งเข้าร่วมครั้งแรกทั้งฟิลิปปินส์, เยเมนและคีร์กีซสถาน

การที่ชาติเล็ก ๆ ได้มีโอกาสสัมผัสเกมการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นให้เกิดความสนใจในฟุตบอลเอเชียของแต่ละชาติเท่านั้น แต่ยังได้ช่วยทำให้วงการฟุตบอลเอเชียมีผู้เล่นหน้าใหม่ที่อาจจะสร้างเซอร์ไพรส์จากเกมทัวร์นาเม้นท์ได้ด้วย

ในบรรดาทีมที่มีโอกาสกลับมาเล่นเอเชี่ยนคัพอีกครั้ง ไทย เวียดนามและอินเดียถือเป็นสามทีมที่เรียกกระแสแฟนบอลได้มากที่สุด ไทยกับเวียดนามเข้ารอบครั้งสุดท้ายในฐานะเจ้าภาพร่วมในปี 2007 และไม่ผ่านเข้ารอบรายการใหญ่อีกเลยจนถูกมองว่าเป็นภูมิภาคที่เล่นฟุตบอลได้อ่อนปวกเปียก ทั้งที่ประชากรในชาติคลั่งฟุตบอลถึงขีดสุดแท้ ๆ เช่นเดียวกันกับอินเดียที่เป็นตัวแทนจากเอเชียใต้ ชาติที่มีประชากรมหาศาลแต่วงการฟุตบอลต้อยต่ำกว่าคริกเก็ตแบบคนละชั้น

การที่ไทยสามารถคว้าโควต้าจากการเข้าเล่นรอบ 12 ทีมสุดท้ายตอนคัดบอลโลก และเวียดนามใช้ทีมที่เล่นได้ดีทั้งทัวร์นาเม้นต์ชิงแชมป์เอเชียรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ซึ่งเข้าถึงนัดชิง เอเชี่ยนเกมส์ครั้งล่าสุดก็ได้อันดับ 4 รวมถึงรายการซูซูกิ คัพที่ชนะเลิศได้อีกครั้งในรอบ 10 ปี ทำให้ถูกจับตามองว่าจะยกระดับตัวเองในเวทีเอเชียได้แค่ไหน ส่วนอินเดียด้วยการวางหมากอย่างแยบยล พวกเขาสามารถสร้างทีมขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการกระตุ้นให้เกิดไอลีก ลีกอาชีพที่แข็งแกร่งในประเทศ ลีกพิเศษอย่างอินเดียน ซุปเปอร์ลีกที่ไปคว้าแข้งดังวัยเตรียมแขวนสตั๊ดมาวาดลวดลายเรียกกระแส ทำให้แฟนบอลอินเดียให้ความสนใจเกมฟุตบอลมากขึ้น ยิ่งทีมชาติของพวกเขาไต่อันดับฟีฟ่า แร้งกิ้งได้สูงถึงระดับ 100 ทีมแรกยิ่งทำให้ความมั่นใจของอินเดียมาสูงมากพอ ๆ กับปริมาณแฟนบอลที่หันมาสนใจเกม

การเพิ่มทีมในเอเชี่ยนคัพ ก็คล้ายกับการเพิ่มทีมของฟุตบอลโลกหรือฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป ไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้ทีมเล็กได้สัมผัสรายการใหญ่ แต่ยังทำให้จำนวนนัดในการถ่ายทอดสดเพิ่มมากขึ้น เม็ดเงินในการซื้อขายลิขสิทธิ์ก็ขยับตามไป ซึ่งวงการฟุตบอลตอนนี้เรื่องเงินถือเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย

 

 

ซัลฟอร์ด ซิตี้ ที่นี่มีเด็กผีคลาส’92

สำหรับสาวกผีแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเขามีทีมนักเตะที่กลายเป็นตำนานมากมาย แต่คลาส’92 ถือเป็นไฮไลท์เพราะนักเตะชุดนี้เป็นลูกเจี๊ยบอาจหาญที่ลบคำสบประมาทของอลัน เฮนเซ่น กูรูรุ่นเก๋าซึ่งเป็นอดีตนักเตะของอริตลอดชาติอย่างลิเวอร์พูลที่หยามว่า “คุณไม่มีทางจะชนะด้วยเด็ก ๆ พวกนี้หรอก”

คำพูดนี้มันเกิดขึ้นในเกมที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดส่งเด็กปั้นลงแล้วโดนแอสตัน วิลล่าถลุงหมดสภาพในนัดเปิดสนามของปี 1995/1996 ทว่าเหล่าเด็ก ๆ จากอะคาเดมี่ที่ถูกผู้จัดการทีมชาวสก็อต อเล็กซ์ เฟอร์กูสันดันขึ้นมาพร้อมกันทั้งไรอัน กิ๊กส์, นิกกี้ บัตต์, พอล สโคลส์, เดวิด เบ็คแฮม, พี่น้องเนวิลล์ ซึ่งเป็นผู้เล่นชุดแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ปี 1992 กลายเป็นกำลังหลักที่ช่วยให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ในบั้นท้ายได้แบบหักหน้ากันไป

เมื่อผ่านมาตามช่วงเวลา นักเตะในคลาส’92 ก็พากันเกษียณตัวเองจากสนามฟุตบอล อยู่นักเตะในชุดนี้ก็มีข่าวว่าสนใจร่วมหุ้นกันซื้อสโมสรซัลฟอร์ด ซิตี้ เอฟซี ทีมระดับนอกลีกเล็ก ๆ ทีมหนึ่งที่เตะอยู่ในเมืองแมนเชสเตอร์ โดยมีไรอัน กิ๊กส์, แกรี่ เนวิลล์, ฟิล เนวิลล์, พอล สโคลส์และนิกกี้ บัตต์ลงหุ้นคนละ 10% เข้ามาเป็นเจ้าของร่วมในฤดูกาล 2014 พร้อมตั้งเป้าจะไปแชมเปี้ยนชิพ ลีกระดับชั้นที่ 2 ของฟุตบอลอังกฤษภายใน 15 ปี ทั้งที่ตอนนั้นที่ยังอยู่ในระดับดิวิชั่นที่

เหล่านักเตะคนดังพากันหมุนเวียนเข้ามาที่สโมสรตามแต่โอกาส ทั้งเม็ดเงิน ประสบการณ์และแรงบันดาลใจของเหล่าอดีตแข้งผีแดงกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้สโมสรเดินหน้าอย่างมั่นคง รวมไปถึงการที่ได้นายทุนเงินหนาชาวสิงคโปร์อย่างปีเตอร์ ลิมที่เป็นเจ้าของทีมบาเลนเซียมาซื้อหุ้นสโมสรครึ่งที่เหลือ ทำให้ทุกอย่างในสโมสรพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ปีนั้นพวกเขาคว้าแชมป์และเลื่อนชั้นได้ทันที ตามด้วยเลื่อนชั้นอีกรอบในปีต่อมาทำให้สโมสรมาหยุดอยู่ที่ระดับ 6 และตอนนั้นเองที่สโมสรเริ่มเซ็นสัญญานักเตะอาชีพเต็มตัวกับผู้เล่นบางคนเป็นครั้งแรก

กราฟพุ่งขึ้นของซัลฟอร์ด ซิตี้ยังไม่จบเมื่อพวกเขาอยู่ในระดับเนชั่นลีก นอร์ธได้เพียง 2 ปีก็สามารถเลื่อนชั้นได้อีกด้วยการคว้าแชมป์ฤดูกาล 2017/2018 ทำให้ฤดูกาลนี้ซัลฟอร์ด ซิตี้ ทีมของบรรดาแข้งคลาส’92 ได้เล่นเนชั่น ลีก ระดับที่อยู่ต่ำกว่าฟุตบอลอาชีพแค่ขั้นเดียวเท่านั้น

ด้วยความที่นักเตะในยุคเดียวกันมาเป็นเจ้าของทีม พวกเขาเลยมักไปปรากฏตัวที่สนามมัวร์ เลน ซึ่งความจริงมันเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นเพนนินซูล่า สเตเดี่ยมตามสปอนเซอร์ แต่ทุกคนก็ยังมักเรียกอย่างนั้นตามความเคยชินที่ใช้มาตั้งแต่ปี 1978 สมัยที่มีแฟนบอลหลักร้อยจนเพิ่มมาเป็นความจุ 5,108 คนในปัจจุบัน

ไม่ใช่แค่นักเตะกลุ่มที่เป็นเจ้าของ พวกเขามักใช้สนามบอลแห่งนี้เป็นที่พบปะโดยการเชิญเหล่าคนคุ้นเคย อาทิ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เพิ่งไปนั่งดูเกมเมื่อวันปีใหม่ แถมบางครั้งนักเตะรุ่นเก่าที่รู้จักพวกเจ้าของทีมก็แวะมาเยี่ยมกันด้วย ทำให้ซัลฟอร์ด ซิตี้เหมือนห้องรับแขกของแข้งผีแดงไปในตัว

เพราะการที่แข้งดังรุ่นขวัญใจเด็กผีมาเป็นเจ้าของทีมนี่เอง ที่ทำให้สาวกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจำนวนมากเอาใจช่วยสโมสรน้องให้ประสบความสำเร็จโดยเร็ว เผื่อว่าวันหนึ่งจะได้ก้าวขึ้นไปถึงจุดที่ตั้งเป้าไว้โดยเร็ว เพราะอีกแค่ 3 ก้าวเท้านั้นก็ถึงแชมเปี้ยนชิพแล้ว