Author: Debbie Bates (page 4 of 5)

แข้งล้นทีม ปล่อยยืมล้นโลก

คริสเตียน พูลิซิชเซ็นสัญญาย้ายทีมเข้าเป็นสมาชิกของสโมสรเชลซี แต่เขาจะกลับไปเล่นให้ดอร์ทมุนด์ต้นสังกัดเก่าแบบยืมตัว มันตลกตรงที่พูลิซิชเป็นแข้งรายที่ 42 ของเชลซีที่ปล่อยให้สโมสรอื่นยืมตัวไปเล่นในขณะนี้

ผู้เล่นอายุน้อยจำนวนมากจากทั่วโลกถูกเชลซีดึงมารวมทีมด้วยเหตุผลว่า แมวมองของเชลซีคิดว่าเด็กเหล่านี้มีพรสวรรค์มากพอที่จะเติบโตมาเป็นกำลังให้ทีมในอนาคตได้ แต่ในเมื่อยังไม่สามารถเบียดขึ้นสุ่ทีมชุดใหญ่ พวกเขาก็ต้องป้องกันไม่ให้เด็ก ๆ ขาดพัฒนาการ การส่งเด็กไปเล่นในสโมสรอื่นแบบยืมตัวจะช่วยให้พวกเขาพัฒนาตัวเองขึ้นมาจากโอกาสที่ได้ลงเล่น นับเฉพาะในตอนนี้ แข้งเชลซีที่ถูกยืมตัวไปใช้งานมีถึง 42 รายใน 11 ประเทศ 21 รายในอังกฤษ 1 รายในสก๊อตแลนด์ 1 รายในไอร์แลนด์เหนือ 4 รายในฮอลแลนด์ 2 รายในเยอรมัน 1 รายในเบลเยี่ยม 1 รายในเซอร์เบีย 2 รายในฝรั่งเศส 3 รายในอิตาลี 4 รายในสเปนและ 1 รายในบราซิล แต่ในจำนวนนี้เป็นการยืมตัวแบบเป็นทางการเพียง 18 รายเท่านั้น

เหตุผลที่สโมสรเชลซีกวาดต้อนแข้งเหล่านี้เข้าสู่สโมสรได้จำนวนมากก็เพราะพวกเขามีเครือข่ายแมวมองอยู่ทั่วโลก และเพราะไม่ได้มีแค่พวกเขาสโมสรเดียว ทำให้พวกเขากลัวว่าถ้าพวกเขาได้รู้ว่าเด็กคนหนึ่งมีพรสวรรค์สูงพอพัฒนาได้ ถ้าไม่คว้าเข้าทีมก็ต้องโดนทีมอื่นคว้าไปแน่นอน ดังนั้นเหตุผลหลักที่เชลซีดึงเด็ก ๆ เข้าทีมมากก็เพราะ หนึ่ง พวกเขาอาจจะได้เพชรเม็ดงามและสอง ทีมอื่นจะได้ไม่คว้าเอาไป

ในขณะเดียวกันสโมสรอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ก็มีผู้เล่นที่ปล่อยยืม 11 ราย ลิเวอร์พูล 6 ราย เอฟเวอร์ตัน 13 ราย วูล์ฟแฮมตัน 14 ราย โดยไม่มีสโมสรไหนเลยในพรีเมียร์ลีกที่ไม่มีนักเตะปล่อยยืมตัว ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นแค่ในอังกฤษ เพราะทีมใหญ่ในลีกอื่น ๆ ก็มักเป็นผู้เล่นดาวรุ่งเข้าสโมสรแล้วปล่อยยืมเช่นกัน ตัวอย่างเช่น โมนาโกในลีก เองที่ปล่อยยืม 9 ราย หรือในลา ลีก้า สเปน ก็มีทีมปล่อยยืมจาก 18 ทีมมากถึง 85 คน

ฟีฟ่าเองเห็นอันตรายในเรื่องนี้และพยายามที่จะเข้ามาจัดการ การกำหนดหลักเกณฑ์อย่างเช่นการจำกัดจำนวนนักเตะที่ย้ายแบบยืมตัวในคราวเดียวกันจะต้องไม่เกิน 8 รายถูกขู่จะนำมาใช้ แต่ฟีฟ่าก็ยังลงมือไม่ได้เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องการควบคุมปริมาณนักเตะของแต่ละสโมสรเท่านั้น หากแต่ยังกระทบไปถึงแนวทางบริหารเชิงธุรกิจของสโมสรด้วย

หลายสโมสรเล็กยินยอมพร้อมใจที่จะขายผู้เล่นที่มีคุณภาพและมีอนาคตของพวกเขาให้ทีมใหญ่ โดยมีเงื่อนไขขอยืมตัวไว้ใช้งาน เป็นการวิน-วินทั้งสองฝ่าย เพราะสโมสรใหญ่ก็สามารถซื้อดาวรุ่งในราคาถูกและสามารถดึงมาใช้งานได้หากพวกเขาพัฒนาฝีเท้าขึ้นมา ขณะที่ทีมเล็กก็ได้เงินแถมยังมีนักเตะใช้งาน ส่วนนักเตะก็ได้โอกาสในการแสดงฝีเท้าอย่างมีเป้าหมาย

มันยังเป็นเรื่องยากของฟีฟ่าที่จะจัดการเรื่องนี้ เพราะลึกลงไปแล้วสโมสรต่างก็พึ่งพาอาศัยกันอยู่ การจะมาหักดิบจำกัดจำนวนผู้เล่นเพื่อให้เกิดสมดุลในระบบฟุตบอลนั้นน่าจะไม่ใช่ทางออกที่ถูก นักเตะเองก็รู้ว่าพวกเขาอยู่บนเส้นทางเสี่ยงโชค ถ้าพวกเขามีโอกาสได้ลงเล่นให้ทีมใหญ่ก็มีสิทธิ์ได้ทั้งชื่อเสียงและรายได้ที่ดีกว่า เมื่อถูกเล็งโดยทีมใหญ่ ใครล่ะจะไม่ยากเสี่ยงวัดดวงดู

 

คริสเตียน พูลิซิช เด็กน้อยผู้เทใจให้ทีมนอกลีก

กลายเป็นข่าวฮือฮาว่าคริสเตียน พูลิซิชตัดสินใจย้ายมาร่วมทีมเชลซีในฤดูกาลหน้าเรียบร้อย แต่นี่ไม่ใช่เรื่องราวฟุตบอลในแผ่นดินผู้ดีหนแรกของหนุ่มน้อยสัญชาติอเมริกัน เพราะเขามีความผูกพันกับการเตะลูกหนังที่แบร็กเล่ย์ ทาวน์มาก่อน

พูลิซิซ กองหน้าดาวรุ่งสัญชาติอเมริกันมาทำอะไรที่อังกฤษ?

เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนไปว่าเขาเกิดที่เพ็นซิลวาเนียในสหรัฐอเมริกา ในครอบครัวที่มี แต่พออายุได้เจ็ดขวบ เคลลี่ ผู้เป็นแม่ได้รับทุนแลกเปลี่ยนให้มาเรียนและทำงานที่อังกฤษ​ พวกเขาทั้งครอบครัวตัดสินใจย้ายมาอยู่อังกฤษ และพูลิซิชน้อยก็ได้หัดเล่นฟุตบอลครั้งแรกที่สโมสรแบร็กเล่ย์ ทาวน์ ทีมท้องถิ่นในน็อธแธมตันเชียร์ตั้งแต่ตอนนั้น

โค้ชโรบิน วอล์กเกอร์ ผู้ดูแลทีมในช่วงดังกล่าวกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกับครอบครัวพูลิซิชจนถึงปัจจุบัน เขาพาคริสเตียนไปเล่นทัวร์นาเม้นท์ต่าง ๆ และทำให้เจ้าหนูตกหลุมรักฟุตบอลหัวปักหัวปำ ไม่ว่าจะวันเรียนหรือวันหยุด คริสเตียน พูลิซิชจะหิ้วลูกบอลวิ่งออกไปยังสนามเด็กเล่นและเตะบอลกับเด็กทุกรุ่นอายุ ตอนนั้นครอบครัวพูลิซิชได้พาเขาไปดูสโมสรต่าง ๆ ทั้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ และสโมสรในระดับล่างอีกหลายสโมสร แต่พูลิซิชไม่ชอบทีมไหนเลยเพราะตอนนั้นทีมอันดับหนึ่งในดวงใจของเขาหนีไม่พ้นแบร็กเล่ย์ เอฟซี ทีมท้องถิ่นประจำเมืองที่อยู่ในดิวิชั่น 10 ของฟุตบอลอังกฤษ พูลิซิชอยู่กับทีมเยาวชนของสโมสรจนกระทั่งเขาเดินทางกลับอเมริกา ในปี 20

มาร์ก พูลิซิช อดีตผู้เล่นมหาวิทยาลัยได้งานผู้จักการทีมฟุตบอลในร่มที่มิชิแกน ครอบครัวพูลิซิชย้ายมายังมิชิแกน และพูลิซิชก็ได้เล่นให้ทีมมิชิแกน รัช ก่อนจะกลายเป็นนักเตะของศูนย์พัฒนาฝีเท้าที่ดูแลโดยสมาคมฟุตบอลของอเมริกา ซึ่งตอนนี้เองที่ความสามารถของพูลิซิชเริ่มถูกกล่าวถึงและไปเข้าตาแมวมองของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

ดอร์ทมุนด์ไปค้นหาจนพบว่าคุณปู่ของพูลิซิชเป็นชาวโครเอเชีย ทำให้เขาเข้าเงื่อนไขที่จะไม่ต้องขอวีซ่าทำงาน เมื่อรู้แบบนี้สโมสรเมืองเบียร์ก็บุกถึงบ้านเพื่อยื่นข้อเสนอให้คริสเตียน พูลิซิชเข้าสู่อะคาเดมี่ของทีมเสือเหลือง และยินดีรับมาร์กเข้าเป็นสต๊าฟโค้ชของรุ่นต่ำกว่า 10 ปีให้สโมสรด้วย นั่นทำให้ครอบครัวพูลิซิชย้ายบ้านอีกครั้งจากอเมริกากลับสู่ยุโรป พูลิซิชเข้าร่วมอะคาเดมี่รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี และอย่างที่รู้กันเขากลายเป็นผู้เล่นทีมชุดใหญ่ของเสือเหลืองด้วยวัยเพียง 17 ปี ในเดือนมกราคม 2016 เขาก็ได้ลงเล่นเกมแรกให้ดอร์ทมุนด์ หลังจากที่โธมัส ทูเคิ่ล ผู้จัดการทีมไว้ใจในฝีเท้าของเขาว่าสูงพอ

สองเดือนต่อมาหลังจากลงเล่นนัดแรกในบุนเดสลีก้ากับอิงโกลสตัด เจอร์เก้น คลิ้นสมันน์ เฮดโค้ชทีมชาติสหรัฐก็เรียกตัวพูลิซิชขึ้นสู่ทำเนียบทีมชาติด้วยการลงเล่นเวิร์ลด์ คัพรอบคัดเลือกกับกัวเตมาลา

ชีวิตของพูลิซิชในเกมลูกหนังพาเขาไปไกลมาก ก่อนที่เชลซีจะตัดสินใจทุ่มซื้อเขามาร่วมทีมในฤดูกาลหน้าด้วยค่าตัว 58 ล้านปอนด์ ทำให้พูลิซิชจะได้กลับมายังจุดเริ่มต้นของตัวเองอีกครั้ง บางทีวันว่าง ๆ เขาอาจจะเลือกไปเยือนถิ่นเก่าที่แบร็กเล่ย์ ทาวน์และเตะบอลในสนามเด็กเล่นอีกสักทีก็เป็นได้

 

แฟนบอลผู้ดีกับความคลั่งไคล้สูงสุดในยุโรป

ในระหว่างการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ทางบริษัทมาสเตอร์ การ์ดได้ทำการสุ่มเก็บข้อมูลแฟนบอลจากทั่วยุโรป เพื่อค้นหาว่าแฟนบอลชาติไหนที่เป็นเจ้าของความคลั่งไคล้สูงสุดในเวทียุโรป ผลปรากฏว่าแฟนบอลผู้ดีคว้าอันดับหนึ่งไปครอง

ผู้เล่นคนที่ 12 ของทีมเมืองผู้ดีถูกเพื่อนแฟนบอลนานาชาติเลือกให้เป็นพวกที่น่าจะมีแพสชั่นสูงสุด จากคำถามว่า “ใครน่าจะเป็นชาติที่มีความคลั่งไคล้ในทีมของพวกเขามากที่สุด” โดย 1 ใน 3 ของผู้ทำแบบสอบถามเลือกอังกฤ​ษ ตามด้วยสเปนและอิตาลี ขณะที่อันดับสี่กลายเป็นตุรกี ทั้งที่น่าจะเป็นเยอรมันมากกว่า

และเมื่อเช็คลงไปในคำถามอื่น ๆ เช่น ถ้าให้ออกเดทกับคนที่เป็นแฟนทีมคู่อริ ปรากฏว่าแฟนบอลผู้ดีเลือกเซย์โนสูงถึง 11% ขณะที่ 15% จะให้ความสัมพันธ์เดินหน้าไป แต่เชื่อว่าสุดท้ายก็คงไปกันไม่รอด และมีถึง 10% ที่พร้อมชิ่งวันฮันนีมูนเพื่อไปชมเกมสำคัญ อย่างเช่น แชมเปี้ยนลีกนัดชิงชนะเลิศ ขณะที่อีก 25% ยินดีหาเรื่องลางานเพื่อดูนัดดังกล่าว และ 20% บอกแมตช์นี้สำคัญกว่าวันเกิดเพื่อนสนิท

เงื่อนไขด้านอายุในการเลือกเชียร์ทีมของอังกฤษก็น้อยที่สุด เมื่อเด็กอังกฤษอายุ 10 ขวบราว 36% จะต้องมีทีมเชียร์ในดวงใจแล้ว และมีถึง 10% ที่เชียร์ตั้งแต่เกิดตามครอบครัว แต่ที่อังกฤษก็มีอิสระในการเชียร์ทีมสูงกว่าอิตาลี เพราะแฟนบอลอิตาลีเป็นพวกสำนึกรักบ้านเกิดสูงสุด โดย 46% ของข้อมูลบอกว่าพวกเขาเชียร์ทีมบ้านเกิดเป็นทีมแรกและทีมเดียว ซึ่งมากสุดในกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามทั้งยุโรป

แม้จะรักทีมเข้าเส้นขนาดไหน แต่แฟนบอลผู้ดีก็เลือกที่จะจ่ายน้อยสำหรับเกมหนึ่งนัด ทั้งนี้อาจจะเพราะอังกฤษมีเกมใหญ่ ๆ เกมสำคัญ ๆ ให้ได้ดูบ่อย ขณะที่ตุรกีและรัสเซียเป็นสองชาติกระเป๋าหนักที่ยอมจ่ายแพงที่สุดขอเพียงให้ได้ดูเกมสำคัญนั้น

สถิติอื่น ๆ ที่น่าสนใจก็อย่างแฟนฮอลแลนด์ 41% ขอเลือกนั่งดูบอลทางทีวีดีกว่าไปสนาม แฟนบอลโรมาเนียเป็นพวกที่เลือกเชียร์เพราะผลงานมากที่สุด หรือแฟนบอลยูเครน 66% ถ้าเลือกได้ขอเห็นทีมรักเข้าชิงแชมเปี้ยนลีกแลกกับการถูกล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่ก็ได้

หลังประกาศผลสำรวจของมาสเตอร์ การ์ด ไรอัน กิ๊กส์ที่เป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ของมาสเตอร์ การ์ดในการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกก็ให้ความเห็นว่า “ผมเคยฝันว่าจะไปเล่นให้ทั่วโลกตลอดช่วงที่เป็นนักเตะ แต่ผมจะไม่แปลกใจเลยที่แฟนบอลอังกฤษกลายเป็นอันดับหนึ่ง ของกลุ่มคนที่มีความหลงใหลในฟุตบอลอย่างสูงสุด ค่ำคืนในเวทียุโรปถือเป็นอะไรที่สุดยอดมากในชีวิตผม และการออกไปเชียร์ทีมนอกบ้านก็เป็นอะไรที่สุด ๆ มาก”

การแสดงออกของแฟนบอลชาวเมืองผู้ดีจากช่วงฟุตบอลโลกได้บอกว่าพวกเขาเป็นชาติคลั่งฟุตบอลขนาดไหน ภาพกองเชียร์ของค่ำคืนในเวทียุโรปที่แอนฟิลด์ เสียงตะโกนเร่งเร้าของแฟนบอลในโอลด์ แทร็พฟอร์ด หรือเสียงเฮที่เอติฮัด สเตเดียมก็ไม่ต่างกัน มันแสดงถึงพลังงานความรักและความศรัทธาที่มีต่อทีมอย่างมาก ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยที่อังกฤษจะกลายเป็นชาติที่มีความหลงใหลในเกมแชมเปี้ยนลีกสูงสุดเหนือชาติอื่นในยุโรป

 

สิ่งที่สเปอร์ขาดไปในการเป็นทีมใหญ่อย่างถาวร

สโมสรท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ หรือ สเปอร์ที่เราคุ้นเคย ยอดทีมจากลอนดอนเหนือที่สร้างผลงานได้โดนเด่นในช่วงสี่ฤดูกาลหลังถึงขนาดเกือบเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่เลสเตอร์ ซิตี้สร้างความมหัศจรรย์ได้ พวกเขาพยายามสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นบิ๊กซิกส์ของพรีเมียร์ลีก แต่ไฉนยังดูห่างไกลจากการเป็นทีมใหญ่อย่างที่ต้องการ และนี่คือจุดด้อยที่สเปอร์เป็นอยู่

ความสำเร็จครั้งสุดท้ายเมื่อนานมาแล้ว

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสเปอร์เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษเพียง 2 ครั้งเท่านั้น และมันเกิดขึ้นในปี 1950/1951 กับฤดูกาล 1960/1961 นั่นแปลว่าพวกเขาไม่เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดมานานเกือบ 60 ปีแล้ว พอไปดูที่ถ้วยเอฟเอ คัพ หนสุดท้ายที่พวกเขาชูถ้วยแชมป์เกิดในปี 1990/1991 ซึ่งก็ผ่านมานานเกือบยี่สิบปีแล้ว ขณะที่ถ้วยแชมป์ใบสุดท้ายที่พวกเขาได้มาคือถ้วยลีก คัพก็เกิดขึ้นในฤดูกาล 2007/2008 ซึ่งผ่านมาแล้ว 10 ปี นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่ทีมที่คุ้นเคยกับการคว้าแชมป์เมื่อเทียบกับบิ๊กทีมรายอื่น

ขาดนักเตะระดับจะเป็นตำนาน

ในขณะที่สโมสรอื่นมีนักเตะที่กลายเป็นตำนานต่อรุ่นกันมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดสร้างเอริค คันโตน่า, และเดวิด เบ็คแฮม หรืออย่างเช่นลิเวอร์พูลมีสตีเว่น เจอราร์ดมาถึงโมฮาเหม็ด ซาลาห์ หรืออาร์เซนอลที่มีเธียร์รี่ อองรี สเปอร์กลับไม่มีผู้เล่นชั้นแม่เหล็กที่สามารถสร้างปรากฏการณ์อะไรบางอย่างที่สโมสรได้อย่างต่อเนื่อง นักเตะที่พอมีชื่อเสียงของสเปอร์ไม่แคล้วต้องย้ายออกไปจากทีมหรือไม่เช่นนั้นก็ฟอร์มตกลง ทั้งลูก้า โมดริช ที่ได้บัลลงดอร์หรือแกเร็ธ เบลที่ย้ายไปประสบความสำเร็จกับราชันชุดขาว นักเตะที่เข้าข่ายตอนนี้ก็มีเพียงแฮร์รี่ เคนเท่านั้น ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะอยู่กับทีมไปอีกนานแค่ไหน

เจ้าของใจไม่ใหญ่

สเปอร์เป็นสโมสรที่มีปัญหาในการซื้อผู้เล่น พวกเขาใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวังมากเกินไป และให้ความสำคัญกับผลกำไรเสียจนเลือกขายผู้เล่นคนสำคัญออกไปแลกกับกำไรค่าตัว แม้กระทั่งในฤดูกาลปัจจุบันที่พวกเขาควรต่อยอดทีมที่กำลังเข้าที่เข้าทางด้วยผู้เล่นที่โปเช็ตติโน่อยากได้ ปรากฏว่าสโมสรยื่นคำขาดว่าจะไม่ซื้อผู้เล่นถ้าไม่ขายตัวเก่าออกไป เพราะพวกเขาเอาเงินไปทุ่มสร้างสนามใหม่ ผิดกับลิเวอร์พูลที่สนามใหม่ก็ต่อเติม แต่ยังเจียดเงินอีกส่วนสำหรับการสร้างทีมให้ผู้จัดการทีมเอาไปใช้

อะคาเดมี่ปั้นเด็กได้น้อย

อะคาเดมี่ของสเปอร์มีเจ้าหน้าที่ทั้งฟูลไทม์และพาร์ทไทม์รวม 30 คนและมีเครือข่ายแมวมองทั่วโลกราว 35 คน รับผิดชอบดูแลเด็กอายุ 8 ถึง 18 ปีได้ราว 150 คน ซึ่งมันน้อยมากเมื่อเทียบกับโอกาสของนักเตะที่จะกลายเป็นเพชรในอนาคต ตลอดช่วงหลายปีมานี้สเปอร์สร้างนักเตะชั้นยอดขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่น้อยมาก ยิ่งชุดปัจจุบันมีเพียงแฮร์รี่ เคน, แฮร์รี่ วิงส์, ไคลน์ วอล์กเกอร์-ปีเตอร์และแดนนี่ โรส 4 รายเท่านั้นที่เป็นผู้เล่นของสโมสรที่เติบโตมาจากอะคาเดมี่

ผลงานใน 3 ฤดูกาลหลัง สเปอร์อาจจะจบด้วยโควต้าไปแชมเปี้ยนลีกได้อย่างต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังอยู่ห่างไกลจากความน่าเกรงขามพอสมควร บางทีพวกเขาอาจจะต้องปฏิวัติแนวทางบางอย่างของสโมสร เช่น การแหวกเพดานค่าใช้จ่ายเพื่อรั้งตัวผู้เล่น หรือการทุ่มซื้อนักเตะชั้นเลิศเข้ามาบ้าง ยิ่งตอนนี้พวกเขากำลังจะมีสนามใหม่ที่ความจุเพิ่มขึ้น หากใช้แนวคิดรอใช้หนี้ค่าสนามเสร็จค่อยขยับ พวกเขาอาจจะหล่นลงไปอยู่ข้างล่างทั้งที่ไต่ขึ้นมาจะถึงยอดอยู่แล้วก็ได้

 

 

โอมาร์ โมมานี่ สีสันฟุตบอลในลายเส้นล้อเลียน

โอมาร์ โมมานี่อาจจะเป็นนักวาดการ์ตูนล้อที่ดังที่สุดในหมู่คอบอล งานของเขามีลายเส้นสนุกและเรื่องราวก็เข้าใจได้ถึงแฟนบอลทั่วโลกโดยเฉพาะการที่เขาเป็นนักการ์ตูนนิสต์ของเว็บไซต์โกล เว็บฟุตบอลที่มีคนติดตามมากอันดับต้น ๆ บนโลกโซเชียล

ผลงานของโอมาร์นั้นผ่านสายตาคนนับล้าน ๆ ในแต่ละสัปดาห์เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวงการฟุตบอลทั้งในและนอกสนาม เขาจะหยิบเอาเหตุการณ์ต่าง ๆ มาเป็นหัวเชื้อในการปั่นป่วน และล้อเลียนอย่างมีเสน่ห์ แต่กว่าจะปีนป่ายขึ้นมาจากจุดอันต่ำต้อยในฐานะนักวาดการ์ตูนในกรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน ดินแดนบ้านเกิดสู่วันที่ผู้คนรู้จักมันไม่ใช่เส้นทางที่ง่ายเลย

“ผมรู้จักฟุตบอลครั้งแรกสักราว 1986 จากหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ที่พ่อซื้อมาอ่าน ปกมันเป็นรูปมาราโดน่า ผมถามพ่อว่านี่คือใคร พ่อบอกว่านี่คือมาราโดน่า นักเตะที่เก่งที่สุดในโลก นั่นแหละเรื่องราวของฟุตบอลและนักฟุตบอลคนแรกที่ผมรู้จัก” โมมานี่ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารฟุตบอลไทม์ถึงวันเก่าของเขา

“ไม่นานแม่ก็ซื้อเสื้อยืดที่มีรูปมาราโดน่าพิมพ์อยู่ให้ และผมก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเด็กคนไหน ๆ ก็พากันสะสมสติ๊กเกอร์พานินี่ (สติ๊กเกอร์ลิขสิทธิ์ที่พิมพ์ภาพนักฟุตบอลดังของโลก) และใครก็อยากได้มาราโดน่ากันทั้งนั้น” จากนั้นเขาก็ได้เห็นมาราโดน่าในเวอร์ชั่นการ์ตูนล้อครั้งแรกราวปี 1990 ทำให้เขาเริ่มอยากเห็นผู้เล่นคนอื่น ๆ บ้าง และกลายเป็นการนำพาเขามาสู่การวาดการ์ตูนล้อเอง

ความคู่ไปกับการดูฟุตบอล โมมานี่หลงรักในการ์ตูนฮีโร่มาก ๆ เขาตัดสินใจจะเป็นนักข่าวหรือนักเล่าเรื่องที่สร้างสรรค์ในรูปแบบการ์ตูน ทำให้เขาเน้นลึกลงไปที่องค์ประกอบซึ่งทำให้เขาหลงรักเกมการแข่งขัน ความแข็งแกร่งของผู้เล่น เทคนิคและพรสวรรค์ สไตล์ที่สวยงาม รวมไปถึงความแตกต่างในแต่ละตัวบุคคลที่นักฟุตบอลมี

รูปแรกที่โมมานี่วาดเผยแพร่ไม่ใช่เรื่องของฟุตบอล เขาวาดเรื่องราวของยัตเซอร์ อาราฟัต อดีตผู้นำปาเลสไตน์กับยิตซัค ราบิน อดีตนายกรัฐมนตรีอิสราเอล ซึ่งเกิดขึ้นตอนเขาอายุ 14 ปีเท่านั้น เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนชอบให้เขาวาดรูปเพราะเขาวาดได้สวย ทั้งภาพการ์ตูนดัง ภาพล้อพวกคุณครูซึ่งพวกครูไม่มีใครชอบเรื่องนี้สักคน และเขาถูกทำโทษบ่อยมากและโดนครูสั่งห้ามวาด แต่เขาก็ไม่เคยหยุดมันเลย

โมมานี่นับได้ว่าเป็นเด็กจอร์แดนหัวสมัยใหม่โดยแท้ เพราะน้อยคนนักที่จะฝันถึงการทำงานในอุตสาหกรรมบันเทิงหรือเป็นศิลปินเพราะมันไม่มีอนาคตแถมไม่ได้ให้เงินตอบแทนสูง จากการเรียนคอมพิวเตอร์ประยุกต์ โมมานี่พบว่าโปรแกรมโฟโต้ช็อปกับแฟลชคือสิ่งที่เขาค้นหา มันทำให้เขาตัดสินใจเดินหน้าสู่งานอนิเมชั่นหลังเรียนจบ ซึ่งตอนนั้นประจวบเหมาะกับการขยายตัวของวงการทีวีในตะวันออกกลางที่กำลังอยากได้นักการ์ตูนอนิเมชั่นกลิ่นอายอาหรับโดยเฉพาะ

การ์ตูนของโอมาร์ โมมานี่สร้างลายเส้นและเรื่องราวที่สะดุดตาคน นักฟุตบอลดังหลายคนติดตามงานของเขาทั้งอิเคร์ กาซิลยาส, ลูคัส โพดอลสกี้หรือราเมดัล ฟัลเกา เขาถูกชักชวนเข้ามาเป็นนักวาดประจำของเว็บไซต์โกลที่ซึ่งทำให้ตัวการ์ตูนและลายเส้นของเขาสื่อสารออกไปในวงกว้างอย่างยิ่ง

“มันตลกตรงที่ครั้งหนึ่งผมไปร่วมงานอนิเมชั่นที่ดูไบ เจ้าของร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ติดโรงแรมทำอาหารเช้ามาให้ผม เขาเป็นแฟนอาร์เซน่อลและชอบโม้เรื่องอาร์เซน่อลกับแวงเกอร์ใหญ่เลย จนกระทั่งวันหนึ่งเขาถามผมว่าทำงานอะไร? ผมบอกว่าผมเป็นนักวาดการ์ตูน ปรากฏเขาถามว่าทำไมผมไม่วาดการ์ตูนฟุตบอลแบบโอมาร์ โมมานี่ซะล่ะ? ผมนี่หัวเราะลั่นเลย” โมมานี่เล่าอย่างขำขัน

จากความชอบสู่งานที่ทำเลี้ยงชีพ โมมานี่ยังคงสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้แฟนฟุตบอลได้เห็นเรื่องราวในอีกอารมณ์หนึ่งเสมอ ซึ่งแน่นอนว่าคุณต้องลุ้นและรอคอยติดตามผลงานต่อไปของเขาอยู่แน่ ๆ

 

เอเชี่ยนคัพ 24 ทีม โอกาสเล่นของทีมเล็ก

อีกไม่กี่อึดใจฟุตบอลเอเชี่ยน คัพ 2019 ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สงครามแข้งของทีมชาติในเอเชียจะเริ่มต้นขึ้น มันเป็นเกมหาทีมที่เก่งที่สุดในเอเชียซึ่งจัดมาแล้ว 16 ครั้ง แต่ครั้งนี้ซึ่งเป็นหนที่ 17 สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชียหรือเอเอฟซีตัดสินใจเพิ่มทีมเป็น 24 ทีม มากขึ้นจากครั้งก่อน 8 ทีม ทำให้มันเป็นการแข่งขันที่เข้มข้นและยาวนานขึ้น

มี 12 ทีมที่ได้อานิสงส์จากการที่เข้ารอบสุดท้ายรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2018 โซนเอเชีย โดยไม่ต้องไปเล่นคัดเลือกรายการเอเชี่ยนคัพอีก ทำให้ต้องมีการเพิ่มจำนวนทีมเข้ารอบให้มากขึ้นในการเล่นรอบที่ 3 ซึ่งรับได้เพิ่มอีก 12 ทีม แน่นอนว่าการเพิ่มทีมให้มากขึ้นย่อมเป็นโอกาสที่ดีของทีมชาติที่อยู่ในระดับกลาง ๆ และมันก็เป็นไปตามนั้นเพราะเหล่าทีมที่รอดเข้ารอบมาจากการคัดเลือกรอบหลัง มีแค่บาห์เรนกับเกาหลีเหนือที่พอจะเคยเข้าแข่งขันรอบสุดท้ายมากกว่าทีมอื่นที่ 5 กับ 4 ครั้ง และมีทีมที่ผ่านเข้ารอบมาแล้ว 3 ครั้งอย่างอินเดีย, โอมาน, จอร์แดนและเวียดนามได้โอกาสอีกครั้ง

ชาติเล็ก ๆ อย่างเลบานอน, ปาเลสไตน์, เติร์กเมนิสถาน เพิ่งมีโอกาสสัมผัสรายการใหญ่สุดนี้เป็นหนที่สอง แฟนบอลของพวกเขารู้สึกตื่นเต้นไม่ต่างจากชาติที่เพิ่งเข้าร่วมครั้งแรกทั้งฟิลิปปินส์, เยเมนและคีร์กีซสถาน

การที่ชาติเล็ก ๆ ได้มีโอกาสสัมผัสเกมการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นให้เกิดความสนใจในฟุตบอลเอเชียของแต่ละชาติเท่านั้น แต่ยังได้ช่วยทำให้วงการฟุตบอลเอเชียมีผู้เล่นหน้าใหม่ที่อาจจะสร้างเซอร์ไพรส์จากเกมทัวร์นาเม้นท์ได้ด้วย

ในบรรดาทีมที่มีโอกาสกลับมาเล่นเอเชี่ยนคัพอีกครั้ง ไทย เวียดนามและอินเดียถือเป็นสามทีมที่เรียกกระแสแฟนบอลได้มากที่สุด ไทยกับเวียดนามเข้ารอบครั้งสุดท้ายในฐานะเจ้าภาพร่วมในปี 2007 และไม่ผ่านเข้ารอบรายการใหญ่อีกเลยจนถูกมองว่าเป็นภูมิภาคที่เล่นฟุตบอลได้อ่อนปวกเปียก ทั้งที่ประชากรในชาติคลั่งฟุตบอลถึงขีดสุดแท้ ๆ เช่นเดียวกันกับอินเดียที่เป็นตัวแทนจากเอเชียใต้ ชาติที่มีประชากรมหาศาลแต่วงการฟุตบอลต้อยต่ำกว่าคริกเก็ตแบบคนละชั้น

การที่ไทยสามารถคว้าโควต้าจากการเข้าเล่นรอบ 12 ทีมสุดท้ายตอนคัดบอลโลก และเวียดนามใช้ทีมที่เล่นได้ดีทั้งทัวร์นาเม้นต์ชิงแชมป์เอเชียรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ซึ่งเข้าถึงนัดชิง เอเชี่ยนเกมส์ครั้งล่าสุดก็ได้อันดับ 4 รวมถึงรายการซูซูกิ คัพที่ชนะเลิศได้อีกครั้งในรอบ 10 ปี ทำให้ถูกจับตามองว่าจะยกระดับตัวเองในเวทีเอเชียได้แค่ไหน ส่วนอินเดียด้วยการวางหมากอย่างแยบยล พวกเขาสามารถสร้างทีมขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการกระตุ้นให้เกิดไอลีก ลีกอาชีพที่แข็งแกร่งในประเทศ ลีกพิเศษอย่างอินเดียน ซุปเปอร์ลีกที่ไปคว้าแข้งดังวัยเตรียมแขวนสตั๊ดมาวาดลวดลายเรียกกระแส ทำให้แฟนบอลอินเดียให้ความสนใจเกมฟุตบอลมากขึ้น ยิ่งทีมชาติของพวกเขาไต่อันดับฟีฟ่า แร้งกิ้งได้สูงถึงระดับ 100 ทีมแรกยิ่งทำให้ความมั่นใจของอินเดียมาสูงมากพอ ๆ กับปริมาณแฟนบอลที่หันมาสนใจเกม

การเพิ่มทีมในเอเชี่ยนคัพ ก็คล้ายกับการเพิ่มทีมของฟุตบอลโลกหรือฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป ไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้ทีมเล็กได้สัมผัสรายการใหญ่ แต่ยังทำให้จำนวนนัดในการถ่ายทอดสดเพิ่มมากขึ้น เม็ดเงินในการซื้อขายลิขสิทธิ์ก็ขยับตามไป ซึ่งวงการฟุตบอลตอนนี้เรื่องเงินถือเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย

 

 

ซัลฟอร์ด ซิตี้ ที่นี่มีเด็กผีคลาส’92

สำหรับสาวกผีแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเขามีทีมนักเตะที่กลายเป็นตำนานมากมาย แต่คลาส’92 ถือเป็นไฮไลท์เพราะนักเตะชุดนี้เป็นลูกเจี๊ยบอาจหาญที่ลบคำสบประมาทของอลัน เฮนเซ่น กูรูรุ่นเก๋าซึ่งเป็นอดีตนักเตะของอริตลอดชาติอย่างลิเวอร์พูลที่หยามว่า “คุณไม่มีทางจะชนะด้วยเด็ก ๆ พวกนี้หรอก”

คำพูดนี้มันเกิดขึ้นในเกมที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดส่งเด็กปั้นลงแล้วโดนแอสตัน วิลล่าถลุงหมดสภาพในนัดเปิดสนามของปี 1995/1996 ทว่าเหล่าเด็ก ๆ จากอะคาเดมี่ที่ถูกผู้จัดการทีมชาวสก็อต อเล็กซ์ เฟอร์กูสันดันขึ้นมาพร้อมกันทั้งไรอัน กิ๊กส์, นิกกี้ บัตต์, พอล สโคลส์, เดวิด เบ็คแฮม, พี่น้องเนวิลล์ ซึ่งเป็นผู้เล่นชุดแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ปี 1992 กลายเป็นกำลังหลักที่ช่วยให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ในบั้นท้ายได้แบบหักหน้ากันไป

เมื่อผ่านมาตามช่วงเวลา นักเตะในคลาส’92 ก็พากันเกษียณตัวเองจากสนามฟุตบอล อยู่นักเตะในชุดนี้ก็มีข่าวว่าสนใจร่วมหุ้นกันซื้อสโมสรซัลฟอร์ด ซิตี้ เอฟซี ทีมระดับนอกลีกเล็ก ๆ ทีมหนึ่งที่เตะอยู่ในเมืองแมนเชสเตอร์ โดยมีไรอัน กิ๊กส์, แกรี่ เนวิลล์, ฟิล เนวิลล์, พอล สโคลส์และนิกกี้ บัตต์ลงหุ้นคนละ 10% เข้ามาเป็นเจ้าของร่วมในฤดูกาล 2014 พร้อมตั้งเป้าจะไปแชมเปี้ยนชิพ ลีกระดับชั้นที่ 2 ของฟุตบอลอังกฤษภายใน 15 ปี ทั้งที่ตอนนั้นที่ยังอยู่ในระดับดิวิชั่นที่

เหล่านักเตะคนดังพากันหมุนเวียนเข้ามาที่สโมสรตามแต่โอกาส ทั้งเม็ดเงิน ประสบการณ์และแรงบันดาลใจของเหล่าอดีตแข้งผีแดงกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้สโมสรเดินหน้าอย่างมั่นคง รวมไปถึงการที่ได้นายทุนเงินหนาชาวสิงคโปร์อย่างปีเตอร์ ลิมที่เป็นเจ้าของทีมบาเลนเซียมาซื้อหุ้นสโมสรครึ่งที่เหลือ ทำให้ทุกอย่างในสโมสรพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ปีนั้นพวกเขาคว้าแชมป์และเลื่อนชั้นได้ทันที ตามด้วยเลื่อนชั้นอีกรอบในปีต่อมาทำให้สโมสรมาหยุดอยู่ที่ระดับ 6 และตอนนั้นเองที่สโมสรเริ่มเซ็นสัญญานักเตะอาชีพเต็มตัวกับผู้เล่นบางคนเป็นครั้งแรก

กราฟพุ่งขึ้นของซัลฟอร์ด ซิตี้ยังไม่จบเมื่อพวกเขาอยู่ในระดับเนชั่นลีก นอร์ธได้เพียง 2 ปีก็สามารถเลื่อนชั้นได้อีกด้วยการคว้าแชมป์ฤดูกาล 2017/2018 ทำให้ฤดูกาลนี้ซัลฟอร์ด ซิตี้ ทีมของบรรดาแข้งคลาส’92 ได้เล่นเนชั่น ลีก ระดับที่อยู่ต่ำกว่าฟุตบอลอาชีพแค่ขั้นเดียวเท่านั้น

ด้วยความที่นักเตะในยุคเดียวกันมาเป็นเจ้าของทีม พวกเขาเลยมักไปปรากฏตัวที่สนามมัวร์ เลน ซึ่งความจริงมันเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นเพนนินซูล่า สเตเดี่ยมตามสปอนเซอร์ แต่ทุกคนก็ยังมักเรียกอย่างนั้นตามความเคยชินที่ใช้มาตั้งแต่ปี 1978 สมัยที่มีแฟนบอลหลักร้อยจนเพิ่มมาเป็นความจุ 5,108 คนในปัจจุบัน

ไม่ใช่แค่นักเตะกลุ่มที่เป็นเจ้าของ พวกเขามักใช้สนามบอลแห่งนี้เป็นที่พบปะโดยการเชิญเหล่าคนคุ้นเคย อาทิ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เพิ่งไปนั่งดูเกมเมื่อวันปีใหม่ แถมบางครั้งนักเตะรุ่นเก่าที่รู้จักพวกเจ้าของทีมก็แวะมาเยี่ยมกันด้วย ทำให้ซัลฟอร์ด ซิตี้เหมือนห้องรับแขกของแข้งผีแดงไปในตัว

เพราะการที่แข้งดังรุ่นขวัญใจเด็กผีมาเป็นเจ้าของทีมนี่เอง ที่ทำให้สาวกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจำนวนมากเอาใจช่วยสโมสรน้องให้ประสบความสำเร็จโดยเร็ว เผื่อว่าวันหนึ่งจะได้ก้าวขึ้นไปถึงจุดที่ตั้งเป้าไว้โดยเร็ว เพราะอีกแค่ 3 ก้าวเท้านั้นก็ถึงแชมเปี้ยนชิพแล้ว

 

 

ถึงเวลาจัดการขั้นเด็ดขาด

การเหยียดผิวในวงการฟุตบอลยุโรปจากอังกฤษข้ามไปถึงอิตาลี แต่มีความแตกต่างในการจัดการระหว่างสองลีกอย่างมาก ที่อังกฤษพวกเขาเอาเป็นเอาตายกับการหาตัวคนกระทำผิด ลงโทษด้วยมาตรการรุนแรง ส่วนสโมสรได้รับแค่การตักเตือนให้ควบคุมเรื่องนี้ให้เข้มงวดขึ้น แต่ที่อิตาลี ฝ่ายที่ถูกลงโทษคือสโมสร

เกมใหญ่ระหว่างอินเตอร์ มิลานกับนาโปลีนั้นถ้าไม่นับเรื่องพฤติกรรมเหยียดผิวของแฟนบอลงูใหญ่แล้ว ถือเป็นเกมที่สนุกและเข้มข้น แต่พอมีเหตุการณ์ดังกล่าวทุกอย่างในสนามที่สู้กันสุดฝีมือก็ไม่มีความหมาย คาลิดู คูลิบาลี่ กองหลังเซเนกัลของทีมเยือนตกเป็นเป้าโจมตีของแฟนบอลไร้มารยาทตลอดทั้งเกม เท่านั้นไม่พอแฟนบอลยังเสียชีวิตจากเหตุการณ์รถชนใกล้สนามแข่งหลังจบเกมระหว่างที่กำลังมีเรื่องกับแฟนบอลคู่แข่งด้วย อินเตอร์ มิลานโดนบทลงโทษห้ามแฟนบอลเข้าชมเกมสองนัดในบ้าน และอีกหนึ่งนัดในการห้ามแฟนบอลตามไปเยือน

ลูเซียโน่ สเปลเลตติ โค้ชของอินเตอร์ มิลานยอมรับว่าเขารู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้น มันควรจะพอเสียทีในหลาย ๆ เรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อเกมฟุตบอล ในเรื่องที่เกิดขึ้นกับคูลิบาลี่ อินเตอร์ มิลานก็จะอยู่ข้างเขาถึงเขาจะเป็นคู่แข่ง รวมไปถึงทุกคนที่ตกเป็นเป้าโดนเล่นงานแบบเดียวกัน นอกจากนี้เขายังยอมรับว่าการโดนสั่งเล่นในสนามปิดเป็นราคาที่สโมสรต้องจ่ายเพื่อชดเชยกับสิ่งนี้เป็นการสมควรแล้ว

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ธรรมดาเพราะขนาดกุยเซ็ปเป้ คอนเต้ นายกรัฐมนตรีของประเทศยังออกความเห็นว่าลีกควรหยุดเพื่อจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย แถมออกความเห็นว่าถ้าเป็นตัวเขาจะสั่งหยุดเกมในจังหวะที่เกิดเหตุการณ์เหยียดผิวเดี๋ยวนั้นเลย

เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ทางสมาคมฟุตบอลอิตาลีอยู่เฉยไม่ได้เพราะยูฟ่าและฟิฟโปกระโดดลงมาตามเรื่องนี้เอง หลังจากที่มีกรณีเหยียดผิวเกิดขึ้นต่อเนื่องทั้งในอังกฤษและอิตาลี  แต่ที่อิตาลีนั้นถึงขนาดที่โฆษกสนามร้องขอแล้วก็ยังไม่หยุดการกระทำ แสดงให้เห็นว่ามาตรการควบคุมพฤติกรรมที่ไม่อาจจะยอมรับได้ในสนามของเซเรีย อา ล้าหลังมาก

สำหรับแฟนบอลอินเตอร์ มิลานนั้น การโดนแบนสองสามนัดไม่ใช่เรื่องใหญ่โต พวกเขาก็แค่พลาดการชมเกมไปสองสามเกม เดี๋ยวก็ได้กลับมาเข้าสนามใหม่ ส่วนเรื่องของค่าปรับ ค่าเสียหายเป็นความรับผิดชอบของคนอื่น ซึ่งจุดนี้เองที่กลายเป็นความแตกต่างจากอังกฤษ เมื่อสโมสรในลีกเมืองผู้ดีกล้าแบนยาวตลอดชีวิตและทำเรื่องส่งตำรวจในข้อหาผิดกฏหมายด้วยตัวเอง

ลีกอิตาลีจำเป็นต้องกลับมานั่งทบทวนและร่างกฎเกณฑ์ในการลงโทษที่รุนแรงพอที่จะทำให้แฟนบอลชะงักการกระทำของตน โดยเฉพาะการควบคุมแฟนบอลที่อาจจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมไม่สวยงาม หรือเป็นต้นเหตุของความรุนแรงอื่น ๆ เพราะบรรดาสโมสรในอิตาลีล้วนมีกลุ่มก้อนกองเชียร์ที่ทำตัวเหนือกฏเกณฑ์ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าพวกเขาไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ มูลค่าของลีกที่กำลังฟื้นกลับมามีหวังได้ตกต่ำลงไปอีกหลายขั้น

 

นิโก้ โควัช กับเกมบุนเดสลีก้าที่ยากกว่าเดิม

การตามหลังจ่าฝูงถึงหกแต้มของบาเยิร์น มิวนิคทำให้นิโก้ โควัชอดยอมรับไม่ได้ว่าบุนเดสลีก้านั้นยากกว่าที่คิด

ขวบปีก่อนหน้านี้เขายังทำให้ทีมอย่างไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ตคว้าสิทธิ์เล่นรายการยุโรป และคว้าถ้วยเดเอฟเบ โพคาลให้สโมสรได้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งนัดนั้นเป็นการเอาชนะว่าที่ทีมใหม่ของตัวเองเสียด้วย โควัชสั่งลาสโมสรเก่าแบบไม่มีอะไรต้องติดค้างเพื่อมารับงานที่ใหญ่กว่าในการรักษาเกียรติยศและความยิ่งใหญ่ของบาเยิร์น มิวนิค

การเริ่มต้นของโควัชไปได้สวย สี่เกมแรกในบุนเดสลีก้าของบาเยิร์นเป็นไปตามที่ควรจะเป็น นั่นคือทีมใหญ่อย่างบาเยิร์นต้องชนะได้ไม่ยาก แต่ว่าการสะดุดไม่ชนะใคร 3 นัดติดกันถึงสองรอบทำให้ทีมคู่แข่งที่มีผลงานดีอย่างดอร์ทมุนด์ทำแต้มทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ ยังดีที่บาเยิร์นดูจะไหวตัวทันว่าการไม่เข้มงวดกับตัวเองจะทำให้พวกเขาไล่ตามคู่แข่งไม่สำเร็จ บาเยิร์นกลับมาชนะได้ 5 เกมติดลดช่องห่างให้แคบลงมาพอที่จะมองถึงความเป็นไปได้ในช่วงหลังเบรคหนีหนาว

สิ่งที่โควัชสัมผัสได้บอกให้รู้ว่าบุนเดสลีก้าในปีนี้ยากกว่าปีที่แล้วมาก โดยเฉพาะกับทีมใหญ่ที่เผชิญปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บ ถึงอย่างนั้นด้วยแนวทางการคุ้มทีมของโควัชที่เลือกแท็กติกการโรเตชั่นนักเตะบ่อย ๆ ก็ไม่เป็นที่ถูกใจของคาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิเก้เท่าไหร่ แต่บอร์ดสโมสรก็ต้องยอมปล่อยให้โควัชทำงานของเขาไป และยอมรับว่าแนวคิดของเขาอาจจะไม่ถูกต้องนักสำหรับยุคที่ทีมต้องมีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับการแข่งขันที่มากกว่า

มุมหนึ่งที่นิโก้ โควัชพลาดคือการที่เขาประเมินสถานการณ์ของทีมผิด จากความด้วยประสบการณ์ของตัวเอง การต้องเล่นทั้งเกมยุโรปและบุนเดสลีก้าไปพร้อมกันทำให้เขาวางหมากในการโรเตชั่นผู้เล่นจนทีมเล่นได้ผิดทรง โดยเฉพาะในช่วงปลายกันยายนต่อต้นตุลาคมที่ไม่สามารถชนะใครได้เลยถึง 4 เกม จนมีข่าวลือว่าเบื้องบนกดดันหนักจะเปลี่ยนตัวเขาออกจากตำแหน่ง สุดท้ายสามผู้ใหญ่ของทีมทั้งอูลี่ เฮอเนส, คาร์ล ไฮนซ์-รุมเมนิเก้และฮาซาน ซาลิฮามิดซิชต้องตั้งโต๊ะแถลงหนุนหลัง จากนั้นนิโก้ โควัชก็รอดมาด้วยการเล่นที่มีผลลัพธ์ดีขึ้น แม้จะน่าผิดหวังในเกมพ่ายดอร์ทมุนด์ซึ่งควรทำได้ดีกว่านี้

โควัชจำเป็นต้องยอมรับว่าประสบการณ์ของเขานั้นยังไม่เพียงพอที่จะพาทีมลอยลำสบาย ๆ เขาต้องรับฟังบรรดาผู้สันทัดกรณีในสโมสรให้มากขึ้นกว่านี้หากอยากได้ทั้งบารมีและแรงหนุน โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการคุมผู้เล่นตัวเก๋าให้อยู่ในฟอร์มและทัศนคติที่ถูกต้อง

ความยากของบุนเดสลีก้าในปีนี้สำหรับสโมสรยักษ์ใหญ่อย่างบาเยิร์น มิวนิค เป็นผลพวงมาจากการที่ทั้งสโมสรและตัวนิโก้ โควัชเชื่อมั่นมากเกินไปว่าพวกเขาเอาอยู่ในทุกสถานการณ์ หรือต่อให้แกว่งก็จะกลับมาได้ เหมือนเมื่อครั้งพ่ายนัดแรกโควัชพูดเต็มปากกว่าเดี๋ยวบาเยิร์นก็คืนฟอร์ม การออกตัวแรงแบบนี้ทำให้ยิ่งถลำลงไปในหลุมพลางที่ดักตัวเอง ดีเท่าไหร่แล้วที่เขายังมีเชือกจากบอร์ดบริหารโยนลงไปให้ปีนกลับขึ้นมาอย่างเจียมตัว

 

ทีมอื่นมีงานต้องทำ แต่ลิเวอร์พูลขยับใกล้คำว่าสมบูรณ์

ลิเวอร์พูลยึดจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกไว้แน่น ด้วยการเอาชนะในเกมที่พวกเขาต้องการชนะ หรือหากจะพูดตรง ๆ ก็คือพวกเขาชนะได้ด้วยรูปแบบการเล่นที่ลงตัวแล้ว ไม่ว่าจะจัดแผนการเล่นอย่างไรในตอนนี้ลิเวอร์พูลสามารถเอาชนะได้ทุกเกมจากการใช้คอนเซ็ปต์ เกมรับเหนียวแน่น เกมรุกดุดัน

ผ่านครบสิบเก้าเกม ลิเวอร์พูลเล่นเหมือนเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ด้วยสไตล์ที่แน่นอน แม้ในเกมที่พวกเขาเกือบเอาตัวไม่รอด ก็ยังมองเห็นได้ว่ารูปทรงของการเล่นไม่ได้ผิดวิธีไปเท่าไหร่ เหลือเพียงว่าในเกมนั้นพวกเขาจะพลาดทำประตูไม่ได้ หรือพลาดปล่อยให้คู่แข่งทำประตูได้หรือเปล่า ซึ่งมันเป็นตามที่พวกเขาต้องการเกือบทั้งหมด

แนวทางการเล่นของลิเวอร์พูลขยับไปถึงจุดที่ใกล้เคียงคำว่าสมบูรณ์แล้ว แต่ทีมอื่นเพิ่งนับหนึ่งสำหรับบางอย่าง สเปอร์ที่เล่นได้ยอดเยี่ยมในช่วงหลังจนขึ้นมาเป็นรองจ่าฝูง ผลงานขนาดนี้ทำให้นักเตะตัวหลักถูกเล็งจากสโมสรอื่นทั่วยุโรป ซึ่งส่วนตัวแล้วสเปอร์ยังมีปัญหาเรื่องผู้เล่นสำรองที่ทดแทนตัวหลักไม่ได้ งานนี้พอเช็ตติโน่รู้ดีว่าสเปอร์ไม่พร้อมรับมืออาการแกว่ง หากขาดผู้เล่นหลักไปแม้แค่สักคนเดียว

แมนเชสเตอร์ ซิตี้สะดุดพ่าย 3 ใน 4 เกมหลัง พวกเขาหาฟอร์มการเล่นที่รวดเร็ว ดุดันและมีประสิทธิภาพแบบฤดูกาลที่แล้วหรือต้นฤดูกาลนี้ยังไม่เจอ ความยอดเยี่ยมของทัพเรือใบที่ผ่านมาคือการที่พวกเขาสามารถบุกได้หลากหลายรูปแบบและทุกทิศทุกทาง ทว่าพวกเขาดูเหมือนเรือที่ผ่อนคันเร่ง ตอนนี้เป็บต้องพาทีมกลับมาชนะเพื่อเรียกสติให้ได้ก่อน หลังจากนั้นค่อยตั้งเป้าไล่ตามลิเวอร์พูลโดยไม่พลาดแพ้ไปอีก

อาร์เซนอลเผชิญปัญหากองหลังเสียประตูง่ายเกินไป ซึ่งสัญญาณอันตรายนี้ถูกส่งออกมาเตือนเป็นเวลานานแล้ว หากแต่แนวรุกได้ช่วยลดทอนความน่ากังวลใจให้มาตลอด จนกระทั่งตอนนี้ที่แนวรุกเริ่มถูกจับทางได้ อูไน เอเมรีต้องหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสำหรับแนวรับเรื่อยมา ดีว่ามันมาถึงจังหวะตลาดซื้อขายเปิดพอดี ถ้าช้ากว่านี้อาจจะเป็นปัญหาใหญ่

เชลซีของเมาริซิโอ ซาร์รี่ดูจะแกว่งไปไม่น้อยจากความไม่สม่ำเสมอของเกมรุก ยิ่งตัวกองหน้าทั้งหมดในมือไม่สามารถฝากความหวังได้ การจะให้เอเด็น อาซาร์แบกทีมทุกเกมเป็นไปได้ยาก เพราะเมื่อคู่แข่งรู้ว่าการปิดกองกลางเบลเยี่ยมเป็นแผนขั้นต้นในการหยุดเชลซี ถ้าพวกเขาทำสำเร็จเชลซีก็จะไปไม่เป็น ต้องนี้บางทีมทำได้และบางทีมทำไม่ได้ ดังนั้นการที่ฟอร์มพวกเขาแกว่งก็เป็นเพราะว่าอาซาร์เล่นได้หรือไม่ในเกมนั้น ๆ

สิ่งที่ลิเวอร์พูลได้เปรียบใครก็คือตอนนี้ทีมค่อนข้างลงตัว สามารถหมุนเวียนแผนการเล่นได้โดยที่ไม่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในแต่ละแผนที่ใช้ เกมการเล่นของหงส์แดงในแต่ละแผนทำออกมาได้มีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ ถึงตรงนี้ลิเวอร์พูลสมบูรณ์พร้อมกว่าใครในการลงแข่งขันครึ่งทางที่เหลือ