Author: Debbie Bates (page 5 of 5)

เตะบอลไม่เก่ง ก็ร่วมงานกับทีมฟุตบอลชั้นนำได้ ด้วยอาชีพแมวมอง

“แมวมอง” เป็นชื่อของรูปแบบการทำงาน และตำแหน่งของพนักงานแบบหนึ่ง ซึ่งมีอยุ่ประจำทุก ๆ สโมสร และมักเป็นตำแหน่งที่ไม่เคยได้ดูทีมตัวเองแข่งขันสด ๆ พวกเค้าทำหน้าที่ในการออกไปเฟ้นหาดวงดาว นักเตะพรสวรรค์ที่อายุน้อย ทั้งจากข้างสนามซ้อม และในระหว่างการแข่งขันกับทีมอื่น ๆ จุดประสงค์คือ ต้องการหานักเตะของดี ราคาถูกจากทั่วโลกให้ทันและไวกว่าแมวมองจากทีมอื่น ๆ เพื่อจะช่วยประหยัดงบประมาณของสโมสร ซึ่งดีกว่าจะไปเสียตังทีละมาก ๆ ในการทุ่มซื้อนักเตะที่คนอื่นปั้นเรียบร้อยแล้วนั่นเอง และในขณะเดียวกันก็สามารถสร้างรายได้จากนักเตะที่ตัวเองดึงเข้ามาให้สโมสรปั้นจนโด่งดัง และขายให้ทีมอื่นอีกด้วย ดังนั้น การทำงานและทักษะ กับสิ่งจำเป็นของแมวมอง คงจะแตกต่างจากงานอื่น ๆ ของฟุตบอลแน่ ๆ แล้วว่าแต่พวกเค้าทำงานอย่างไรล่ะ ถ้าเราสนใจอยากจะทำบ้าง ต้องเริ่มอย่างไร

อดีตนักเตะ

หลายคนคงบอกว่าแมวมองมาจากไหนกันล่ะ ทำไมจู่ ๆ มาทำงานแมวมองได้ ที่จริงจะบอกให้ว่าแมวมองนั้น ส่วนมากก็มาจากนักเตะในอดีต ที่เคยทำงานเป็นนักเตะอาชีพนั่นเอง นี่หมายความว่าแมวมองส่วนมากเคยเห็นคนเล่นจริง ๆ ในสนามกับตัว เคยมีความรู้ในการมองเพื่อนร่วมทีม และยังมีความรู้จากโค้ชที่เคยคุมพวกเค้าเล่น มาผสมผสานกับทักษะในการมองสังเกตและวิเคราะห์ เพื่อกลายมาเป็นแมวมองตาดีนั่นเอง แต่นี่ไม่ได้หมายความนักเตะกลายมาเป็นแมวมองแล้วจะเก่งเสมอไปทุกคน เพราะว่าเค้าจะต้องสังเกตในการเล่นที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย เช่น การรับมือกับความกดดันของเด็ก และการตอบสนองกับคำสั่งโค้ช ซึ่งแตกต่างกันแน่นอนกับสมัยที่นักเตะเล่นอยู่เอง แต่แน่นอนการเป็นนักเตะมาก่อนมีส่วนช่วยไม่มากก็น้อยกับการมาทำงานแมวมอง และโอกาสพัฒนาก้าวไกลได้ และคนธรรมดา ๆ อย่างเรา ที่ชื่นชอบการเตะบอล และวิเคราะห์ก็สามารถเป็นได้

การทำงานจริง

สิ่งแรกสุดเลยสำหรับแมวมอง คือต้องถามความต้องการของโค้ช หรือคนที่เป็นผู้จัดการทีม ว่าเค้ากำลังต้องการนักเตะแบบไหน ตำแหน่งไหน เล่นยังไง และเข้าร่วมทีมแล้วเข้ากับทีมลงตัวตรงไหนบ้าง และรายละเอียดต่าง ๆ ที่มีมากมายไม่เหมือนกันสักครั้ง ดังนั้น ต้องเข้าใจความต้องการก่อนแล้วค่อยออกไปหา และเงินเดือนของแมวมองก็น้อยกว่า การเล่นเองมาก หลังจากที่ได้คำสั่งแล้ว แมวมองจะทำงานด้วยการแบ่งโซนดูแล ทวีปไหน ประเทศไหน ต้องหาเด็กสเปคที่ต้องการเป็นชาวอะไร เล่นแบบลาติน หรือยุโรป ตัวเล็กหรือใหญ่ หลังจากนั้นก็จะไปนั่งชมเกมของจริงท้ายสุด

แมวมองเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากของสโมสร แม้ว่าจะทำงานแบบไม่มีหน้ามีตา และแฟนบอลไม่ได้รู้จัก แต่ทว่า งานนี้ก็ทำให้มีโอกาสหยิบยื่นให้เด็กหลายคนในอดีต ที่กลายมาเป็นยอดนักเตะมากมายมาแล้ว ดังนั้นเราขออวยพรให้แมวมองทุกคนจงเจริญ

 

หงส์แดงปีนี้จะได้แชมป์หรือไม่ มาฟังกันจากปากคล็อพ

หลังจากที่สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ทำผลงานเปิดฤดูกาลได้เป็นอย่างดี หงส์แดงสามารถเก็บชัยชนะได้ทุกนัด ทำให้พวกเค้าขึ้นไปอยู่ในกลุ่มจ่าฝูงลุ้นแชมป์ได้อย่างรวดเร็ว และเรียกได้ว่าเป็นการเริ่มฤดูกาลของหงส์แดงที่ดีที่สุดในรอบหลาย ๆ ปีเลย เพราะว่าปีที่ผ่าน ๆ มานั้น พวกเค้ามักจะสะดุดตั้งแต่ตอนเริ่มต้นฤดูกาล เพียงแค่ผ่านไปไม่กี่นัดเท่านั้น บางครั้ง ความพ่ายแพ้มาเยือนตั้งแต่ 2 นัดแรกก็เคยมาแล้วด้วยซ้ำ ดังนั้น ปีนี้พวกเค้าจะได้ไปไกลถึงฝั่งฝันหรือไม่ ในเมื่อทำผลงานให้แฟน ๆ ได้อุ่นใจขนาดนี้ ให้เราไปฟังจากปากของเจอร์เกลน คล็อพกัน

คล็อปป็ถ่อมตัว

เจอร์เกลน คล็อพนั้น ตั้งแต่ตกลงรับงานเข้ามาคุมทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูลได้หลายปีติดกัน แทบจะไม่เคยปริปาก พูดถึงเรื่องการคว้าแชมป์ใดๆ ให้แฟนหงส์แดงได้ยินมีความสุขบ้างเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะว่าเค้าเองรู้ตัวดีว่า การจะมาเปลี่ยนแปลงทีมให้กลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ได้ทันทีในการเล่นไม่กี่นัด หลังจากที่ทีมเคยเป็นทีมกลางตาราง ค่อนไปทางท้ายมาก่อน นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ในปีสองปีแน่นอน ดังนั้น เมื่อฤดูกาลนี้เริ่มขึ้นอีกเช่นกัน เค้าก็ยังรักษาแนวความถ่อมตัวไว้ด้วยการให้สัมภาษณ์ว่า ผมไม่ได้คิดถึงการให้ความเห็นเรื่องนี้เลย การคว้าแชมป์ไม่ได้เป็นหัวข้อสนทนาของพวกเรา ณ ตอนนี้ เค้ายังได้ให้คำพูดต่อว่า มันยังเร็วเกินไปที่พูดถึงเรื่องแชมป์หรือไม่แชมป์ และแม้ว่าจะมีการทำผลงานชนะแมน ซิตี้ในเกมพรีซีซั่น จนโดนสื่อถามว่า นี่มันของจริงแล้วนี่นา เค้าก็ยังตอบว่า ผลงานที่ดีแค่ 2 เกม เร็วเกินไป จะมาตัดสินอะไรง่าย ๆ ก็คงไม่ได้ ถ้าสื่ออยากจะพูดอะไรก็เชิญได้เลย แต่อย่ามายุ่งกับทีมของคล็อพ

ความเป็นจริงในสนาม

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่า นายใหญ่อย่างคล็อพจะถ่อมตัวลงมาเหมือนเช่นเคยที่ปฏิบัติมา แต่ว่าผลงานในสนามของพวกเค้านั้นยังร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง และการทำชัยชนะได้มาอย่างง่าย ๆ เสียด้วยซ้ำ ก็คงต้องบอกว่าแฟน ๆ และนักฟุตบอลทุกคน น่าจะคิดตรงข้ามกับโค้ชรายนี้แน่นอน เพราะตอนนี้พวกเค้ากลายเป็นตัวเก็งมาแน่นอนแล้ว ในขณะที่ปืนโต หรือ ไก่เดือยทอง หรือแม้แต่ปีศาจแดงเอง ก็ไม่ได้ทำผลงานน่าประทับใจนัก

หงส์แดงลิเวอร์พูล และแฟนบอลทั้งโลก ต่างรอคอยการคว้าแชมป์ครั้งแรกหลังจากหลายสิบปีมานาน ดังนั้น ปีนี้แม้จะถ่อมตน เตรียมใจนำหน้าไว้ก่อน แต่กับเหล่าแฟน ๆ เดอะค็อปแล้ว ก็ขอให้ความคาดหวัง และจับตามองความตั้งใจของคล็อพกับลูกทีม ที่อยากจะนำพาทีมคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกมาให้แฟน ๆ ชื่นใจกันให้ได้นั่นเองในปีนี้

 

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับการค้าแข้งในยุคม้าลาย

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคนี้ ฟุตบอลมีการแข่งขันกันของนักเตะระดับโลกมากมาย ที่แจ้งเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา แต่นักเตะที่โลกจะไม่มีวันลืมในช่วงสมัยนี้คือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แน่นอน เนื่องจากพวกแฟนบอลให้ความรัก ความเคารพนับถือ และติดตามโรนัลโด้อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู จนทำให้มีการเกิดของสาวกที่ติดตามอย่างเหนียวแน่นไม่ขาดสาย ตั้งแต่เค้ายังไม่ได้แจ้งเกิดกับผีแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปจนถึงช่วงที่ทุ่มเทจนโด่งดังแล้ว และย้ายไปเล่นให้กับราชันชุดขาว เรอัล มาดริด เจ้าโด้ก็ยังเป็นที่รักและชื่นชมของคนทั่วโลกเสมอ แต่แล้วในปีนี้โรนัลโด้ได้ตัดสินใจครั้งกระทันหัน และลาออก ขอย้ายไปเล่นกับม้าลายยูเวนตุส ทีมจากลีกฟุตบอลสูงสุดในอิตาลี ไม่ใช่ต่อสัญญากับเรอัล มาดริด ด้วยวัย 33 ปี แบบนี้จะมีอะไรจะตามมาบ้างล่ะ

ผลกระทบนอกสนาม

ที่จริงคริสเตียโน โรนัลโด้นั้นจะย้ายไปเล่นกับทีมไหนก็เกิดผลกระทบใหญ่หลวงแน่นอนอยู่แล้ว ด้วยระดับดีกรีของเค้า แต่ผลกระทบนอกสนามต่างหากที่เหลือเชื่อมาก และทุกครั้งก็ไม่ต่างกันกับหนนี้กับยูเว่ เมื่อเราลองย้อนกลับไปดู การเรียกและมีฉายา R7 ของเค้าฐานะสวมเสื้อเบอร์นี้ ทำให้เกิดปรากฎการณ์หลายครั้งนอกสนาม กล่าวคือ การขายเสื้อทีมใหม่ของเจ้าโด้ ทำให้แฟนบอลทีมใหม่ต่างพากันแห่มาซื้อกันอย่างมากมาย ล้นพ้นฟ้าเสมอ ด้วยความเห่อ เสื้อที่ขายดีปั๊มเลข 7 และชื่อโรนัลโด้ มักจะทำให้ยอดขายมหาศาล และกำไรนั้นเกินกว่าค่าตัวของโรนัลโด้เสมอ แม้ว่าค่าตัวของเค้าจะสูงมากจนทำลายสถิติบ่อยอยู่แล้วนั่นเอง ครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้ว่าค่าตัวโด้อาจจะไม่ถึง 100 ล้านเหมือนสมัยหนุ่มๆ แต่ว่าเค้าก็ทำยอดขายเสื้อไม่กี่ชั่วโมงหลังเปิดขาย จนทำให้ยอดรายได้แซงหน้ายอดค่าตัวสโมสร และแพร่กระจายความฮิตตื่นเต้นให้กับแฟนบอลนอกสนามตามไปด้วยนั่นเอง

ผลกระทบในสนาม

ยูเวนตุสนั้น เรียกได้ว่าเป็นทีมใหญ่ ซึ่งได้แชมป์บอลอิตาลีเซเรียอา ติดต่อกันแทบทุกสมัยอยู่แล้ว ยิ่งในยุคหลัง ๆนั้น แทบจะเรียกได้ว่าม้าลายทีมนี้เท่านั้น ที่เป็นเจ้าครองแชมป์ไม่แบ่งทีมอื่นเลยก็ว่าได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าทั้งอินเตอร์ โรม่า หรือมิลาน ต่างอ่อนฝีมือและมีจุดอ่อนมากกว่าเสมอ จนแทบจะไม่ค่อยได้เกิด ดังนั้นการได้โรนัลโด้มาเสริมทัพครั้งนี้ ก็น่าจะส่งผลกระทบในสนามในแง่ของฝีเท้าที่จัดจ้าน ลีลาการเล่นเร้าใจ ประตูสวยๆ แบบที่กองหน้ายูเว่คนอื่น หรือทีมอื่น ๆ ทำไม่ได้นั่นเอง และการได้มาสวมเบอร์ 7 จะทำให้นักเตะยูเว่ทั้งทีมได้ขวัญกำลังใจแน่นอน

ได้โรนัลโด้ไปนั้น ทีมสามารถมั่นใจได้เลยว่า จะสร้างชื่อเสียงไม่แพ้การเล่นทีมก่อนแน่นอน และหากคว้าแชมป์ได้เค้าจะกลายเป็นสุดยอดแข้งมากเข้าไปอีกนั่นเอง

 

ทำไมผีแดงถึงแพ้ไบรท์ตันถึง 2 ปีติดกัน

โจเซ่ มูรินโญ่ เริ่มคุมทีมไปเพียงเกมที่ 2 ของฤดูกาล 2018-2019 แล้วก็แพ้ให้กับทีมน้องใหม่ปีที่แล้ว อย่างไบรท์ตันไปแบบเหลือเชื่อ เรียกได้ว่าฟอร์มการเล่นค้านสายตาแฟนผีทั่วโลก และเรียกได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้ที่มาเร็วเหลือเกิน 3-2 คือสกอร์บอร์ดสุดท้ายที่เราได้รับรู้หลังสิ้นเสียงนกหวีด และเรียกได้ว่าทำใจยอมรับได้ยากมาก แต่อะไรคือความผิดพลาดของการแพ้ครั้งนี้ และการแพ้ครั้งนี้จะกระทบอะไรกับความหวังลุ้นแชมป์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้บ้าง หลังจากที่ปีที่ผ่านมา พวกเค้าก็จบฤดูกาลไปแบบวืดทุกแชมป์ไปแล้ว จนความหวังของปีนี้ถูกตั้งไว้สูงมากจากแฟนบอลทั่วโลก เราลองมาหาคำตอบกัน

ทัศนะคติในการเล่นของนักเตะ

น้ามูที่จริงเคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อหลายครั้งแล้วในการวิจารณ์นักเตะให้ต้องรู้ตัวแบบจัง ๆ ไม่มีอ้อมค้อม และบ่อยครั้งจุดของการว่าของน้ามูคือ ทัศนะ และความไม่ทุ่มเทเต็มที่ ยามที่ถูกส่งลงเล่นในสนาม เพราะว่าการเป็นทีมใหญ่อย่างผีแดงนั้น นักเตะถูกเรียกร้องคาดหวังว่าจะต้องใส่เต็มร้อยมากกว่าทีมอื่นอยู่แล้ว แต่บางครั้งในแต่ละเกมการแข่งขัน ตั้งแต่ฤดูกาลก่อน ๆ มันบ่งบอกชัดเจนว่า นักเตะหลายคนเล่นแบบที่ไม่อยากชนะ เพราะว่าทัศนะที่เห็นคือไม่ทุ่มเท ไม่จำเป็น หลังจากที่ทุกคนได้ค่าเหนื่อยก้อนโตอยู่แล้ว วันๆ ก็รับเงินสบายๆ แม้แต่ป็อกบาเอง ก็ออกมายอมรับในจุดนี้ว่า นักเตะไบรท์ตันมีทัศนะดีกว่าเรา และต้องการชนะด้วยความโกรธความมุมานะ ที่เห็นได้ชัดแม้ว่าด้อยกว่า นี่จึงเป็นเรื่องที่นักเตะหลายคนของผีแดงชุดแพ้ไบรท์ตันต้องรีบทำการบ้านด่วน

การขาดนักเตะชั้นดี

ว่ากันว่าปีนี้เป็นปีที่มูรินโญ่เสริมทัพได้น้อยกว่าปีอื่น ๆ มาก แม้ว่าจะไม่ได้แชมป์และทีมเป็นสุดยอดของความรวยต่อเนื่อง เพราะว่านักเตะที่ซื้อเข้ามาในเกมนี้เห็นได้ชัดว่าขาดคุณภาพอยู่มาก เช่น เฟร็ด ชาวบราซิลตัวใหม่ เริ่มจะถูกมองแล้วว่าไม่มีความเจ๋งสมกับการรอคอย และเล่นไม่ออก ปรับตัวไม่ได้ และที่มากไปกว่านั้น เป็นนักเตะเก่า เช่นกองหลังอย่างอิริค ไบยี่ และวิคเตอร์ ลินเดลอฟ ที่ไม่สามารถแสดงผลงานที่ดีได้เลย หลังจากการป้องกันที่ลุกลี้ลุกลน จนทำให้เสียรวดเดียว 2 ประตูตอนเริ่มเกม และยังแสดงความเฟอะฟะ ไม่นิ่งออกมาตลอด ทำให้นักเตะชั้นดีจำเป็นมากสำหรับผีแดงในฤดูกาลนี้หากต้องการจะลุ้นแชมป์อีก

ปีนี้ถึงเหล่าพลพรรคเรดอาร์มี่อาจจะแพ้ในเกมที่ 2 แต่พวกเขาก็ยังมีอีกหลายเกมให้แก้ตัวจนกว่าจะจบฤดูกาล ปีนี้จึงถือว่าจุดอ่อนของพวกเค้าแสดงออกอย่างรวดเร็ว ทำให้ยังมีเวลาแก้ไขทัน ขอให้แฟนๆ อดทนรอดูกันต่อไป

 

โชเซ่ มูรินโญ่ กับอาถรรพ์ปีที่ 3 ภายใต้บัลลังก์สีแดง

โชเซ่ มูรินโญ่ หรือน้ามูที่แฟนบอลชาวไทยเรียกแซวกัน เป็นชื่อที่เชื่อขนมกินได้ หรือเป็นหนึ่งนามโค้ชระดับโลกที่เรียกได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จัก แถมยังมีฝีไม้ลายมือการทำทีมที่โดดเด่น เป็นอัจฉริยะในการใช้สมอง วางแทคติกและแก้เกมอย่างหาตัวจับยากคนหนึ่งของวงการฟุตบอล และนอกจากนั้น เค้ายังมีบุคลิกที่ไม่เหมือนใคร การพูดจาสื่อสารที่ยียวนอย่างมีเอกลักษณ์ ทำให้เค้าโดดเด่นอย่างมาก ทั้งกับการคุมทีมและลีลาข้างสนาม แต่ด้วยเกียรติยศระดับถ้วยยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก 2 ใบ บอลแชมป์ลีกอีก 8 สมัย ต่างกันตามประเทศมากมาย และอีก 15 ถ้วยชัยชนะฟุตบอล ตอกย้ำอย่างดีสำหรับฝีมือของเค้า แต่ประเด็นคือเค้ามีจุดอ่อนอยู่ที่ปีที่สาม อาถรรพ์นี้คืออะไรกันแน่?

อาถรรพ์ปีที่ 3 ที่ยังคงติดตัว โจเซ่ มูรินโญ่

น้ามูไม่เคยคุมทีมไหนได้มากกว่า 3 ปีติดต่อกันเลย ยกเว้นครั้งเดียวที่สนามแสตมฟอร์ดของเชลซี ครั้งแรกในการทำงานอังกฤษของเค้า ที่คุมยาวถึง 4 ปี นอกเหนือจากนั้น ไม่เค้าลาออกเองอย่างเต็มใจ ก็ต้องถูกไล่ออกอย่างสม่ำเสมอ จนเรียกได้ว่าอาถรรพ์ของเค้าไปแล้ว เท่านั้นไม่พอ เมื่อมองกันดูตามสถิติแล้ว การได้ถ้วยรางวัลต่าง ๆ ของน้ามู มักจะมาในยามเริ่มรับงานปีแรก หรือสองปีแรกเสมอ ประหนึ่งว่าพอเปลี่ยนทีมแล้วมีแรงไฟกระตุ้นมากมาย จนแทบจะพาทีมได้แชมป์ทุกครั้งที่เริ่มรับงาน จนเป็นที่ยอมรับกล่าวขานก็ว่าได้ ส่วนพอมาถึงปีที่ 3 นั้น จำนวนถ้วยและชัยชนะของเค้าเริ่มหดหายลงเกือบครึ่งประจำ ไม่ว่ากับปอร์โต้ เชลซี อินเตอร์มิลาน รวมทั้งมาดริดด้วยเช่นกัน ไม่เพียงแค่นั้นในปีที่ 3 หรือปีสุดท้ายไม่เพียงฝีมือและผลงานจะตกต่ำลง แต่ความสัมพันธ์ตึงเครียดก็มากเสมอ จนเค้าแทบจะไม่เคยจากกันดี ๆ เลยกับทีมใดเลย

สาเหตุและความเป็นไปได้

เมื่อกล่าวตอนท้าย เรื่องการแยกทางกันหลังปีที่สาม ของน้ามู ก็อาจจะเริ่มเดาได้ว่าทำไมต้องจบที่ปีนี้ เป็นได้ว่าเมื่อน้ามูคุมทีมไปนาน บุคลิกของเค้าก็เริ่มแสดงออกมากขึ้น และสร้างศัตรูมากขึ้น ในทั้งนักเตะของตัวเอง ห้องแต่งตัว หรือกับบอร์ดและฝ่ายบริหารของสโมสร ทั้งเรื่องค่าแรง การซื้อตัวและอื่น ๆ จนทำให้งานของเค้ายากกว่าเดิมนั่นเอง เราเลยสังเกตได้ว่าหลังจากได้แชมป์แล้ว นักเตะระดับดังจะมีปัญหาทะเลาะกับน้ามูเพราะว่าเบื่อในเรื่องการเข้มงวดและแผนการเล่น และน้าก็จะไปทะเลาะต่อกับบอร์ดเรื่องหานักเตะใหม่นั่นเอง

น้ามูเป็นโค้ชที่เยี่ยมมากแน่นอน ปีนี้กำลังคุมทีมผีแดงอยู่ปีที่ 3 และยังไม่ได้แชมป์เลย เราต้องมองว่าปีนี้จะทำลายอาถรรพ์ได้หรือไม่กันแล้ว

 

เคล็ดลับของการเป็นแมวมองตาเพชร อีกหนึ่งตำแหน่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

สำหรับวงการฟุตบอลทั่วโลกนั้น สิ่งที่สำคัญในการจะได้มาซึ่งทีมที่ดี สโมสรดังประสบความสำเร็จ มีอีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญด้วย นั่นคือการมีแมวมองที่ดีและสายตาเฉียบคม สามารถควานหานักเตะมีพรสวรรค์ ฝีเท้าดี และอายุน้อย ตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะว่านี่จะทำให้ทีมประหยัดเงินงบประมาณในการซื้อขายมาก และการมีแมวมองที่สามารถมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น ด้านฝีเท้าของเด็กหรือนักเตะบางคน จะช่วยให้ทีมเรียกตัว ใช้ตัว นักเตะที่ดีอย่างถูกทาง ไม่เสียเวลาในการต้องทดลองทำทีมบ่อย ๆ และนี่เองจะส่งผลให้การเล่นของทีมไม่ติดขัด แต่จะทำอย่างไรถึงจะมีตาอย่างของแมวมองล่ะ

การใช้สายตามองอย่างแมว

เป็นที่ยอมรับว่าการมีสายตาแบบแมวมองนั้น ไม่ได้มีเหมือนกันทุกคน และเรื่องนี้เป็นความจริง ที่บางคนมีพรสวรรค์ที่เรียกว่าไว และรู้สึกมีเซ็นส์ในการมองฝีเท้านักเตะมากกว่าคนอื่น เช่น เวงเกอร์ของปืนโตอาร์เซน่อล ที่ปั้นเด็กมามากมายแล้วนั้น เคยบอกไว้ว่า ถ้าต้องการมั่นใจในตัวใครสักคนก็ให้โอกาสไปเลย แต่สิ่งที่จะช่วยให้มองออกง่ายขึ้นกว่าเดิมสำหรับแมวมองคือ การมองตามอายุ เช่น อายุ 12 ปี เด็กหลายคนก็จะถูกบอกได้แล้วว่าจะสามารถมีทักษะติดตัวดีพอไหมที่จะเป็นมืออาชีพ ส่วนวัย 13-16 นั้น แมวมองก็จะมองที่ร่างกายของเด็กว่าจะมีโอกาสพัฒนาไปจนเติบโตแข็งแรงพอที่จะเล่นอาชีพได้หรือไม่ และวัย 17-18 นั้นเองที่เริ่มมองออกว่าการเล่นกับคนอื่น หรือเล่นแบบทีมทำได้ดีแค่ไหน ถ้าเล่นกับระบบและคำสั่งโค้ชแล้วจะเข้าใจได้จริง ๆ หรือไม่ และสุดท้าย 20 ปี จะมองออกได้เลยว่าสภาพจิตใจของนักเตะคนนั้น จะรับแรงกดดันได้หรือไม่ หรือว่าเปราะบางเกินไปจนเล่นในระดับสูงไม่ได้ตลอดชีวิต

การมองเมื่อกำลังเฟ้นหาของจริง

เมื่อแมวมองมาถึงสนามซ้อมของจริงเท่านั้น ถึงจะเรียกว่าการทำงานแมวมองและใช้สายตาของจริง ไม่ใช่การนั่งดูเทปอยู่ที่บ้าน หรือว่าการนั่งชมไฮไลท์ของนักเตะในยูทูป เพราะว่าที่สนามซ้อม หรือสนามแข่งของจริง ทุกอย่างไม่มีการหลอกลวง ไม่มีการเล่นซ้ำหรือตัดต่อ หรือเตรียมการ ดังนั้น แมวมองอาจจะใช้เวลาประมาณ 20 นาทีสำหรับการมองนักเตะที่พรสวรรค์ชัดเจนสักคน แล้วดูว่ามีสิ่งที่หาหรือไม่ แต่ถ้าทักษะไม่ได้โดดเด่นหรือเทพจริง ๆ แมวมองก็จะให้เวลาอาจจะมากถึง 6 เดือนเลยทีเดียว นอกจากนั้นแล้ว การมองหาสิ่งที่เป็นจุดเด่นนักเตะก็แตกต่างกันไปตามตำแหน่งการเล่นเช่นกัน

แมวมองสามารถมอบโอกาสการเป็นนักบอลให้กับใครก็ได้ แต่ทว่านักเตะคนนั้นกับความพยายามต่างหาก ที่คือก้าวแรกที่จะไปถึงจุดหมาย บนเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพ ต่อให้คุณจะมีเส้นสายแค่ไหนก็ตาม เมื่อผลงานไม่เข้าตาแล้ว ก็ยากที่จะถูกผลักดันได้

 

ยูเซน โบลต์ กับชีวิตนักฟุตบอล?

เมื่อเราได้ยินชื่อของบุรุษนามหนึ่งที่โด่งดัง และคนในแวดวงกรีฑา คงไม่มีใครไม่รู้จัก นั่นคือ “ยูเซน โบลต์” เราจะคิดถึงอะไรเป็นอันดับแรก แน่นอนก็คงจะเป็นการวิ่งแข่ง เพราะว่าโบลต์เป็นนักวิ่งความเร็วจัดจากประเทศจาไมก้า ทวีปแอฟริกา ที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในคนที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกตลอดกาล และฝีเท้าที่ไวยังกับเสือชีตาห์ของเค้านั้น เป็นที่ร่ำลือและยอมรับในระดับโลก หลังจากที่เข้าร่วมการแข่งขันวิ่งกรีฑามากมาย จนได้ชัยชนะเหรียญทองนับไม่ถ้วน จากทั้งการแข่งขันโอลิมปิก หรือการวิ่งระดับอื่น ๆ นั่นเอง แต่ทว่าใครจะไปรู้ว่าโบลต์จะมาเกี่ยวข้องกับวงการฟุตบอลด้วย แต่มันเกิดขึ้นแล้ว

เบื้องหลังของฟุตบอลในใจ

โบลต์นั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นนักวิ่งและเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งเร็ว วิ่งผลัด วิ่งระยะสั้น ระยะไกลมาตลอด แต่ว่าในใจของเค้านั้น ทุกคนรู้กันเป็นอย่างดีว่า เค้าชอบกีฬาฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ เรียกได้ว่าไม่แพ้เลยกับการวิ่ง เพราะตั้งแต่เด็กโบลต์ชอบชมการแข่งขันฟุตบอลผ่านหน้าจอทีวีเสมอ ด้วยความตื่นเต้นที่มากกว่าการวิ่ง ดังนั้น หลาย ๆ คนจะเห็นว่าโบลต์มักจะไปโผล่อยู่ที่ขอบสนามเชียร์บอลอังกฤษเกมใหญ่ ๆ เสมอ นอกจากนั้นแล้ว เค้ายังมักจะไปอาสาลงเล่นฟุตบอลในเกมการกุศลที่เป็นนันทนาการ เอาสนุก ขำ ๆ หรือรวมดาราที่มักจะเอานักเตะวัยดึกมาแข่งกันแบบเฉพาะกิจอยู่เรื่อย ทำให้หลายคนได้ยลฝีเท้าเค้าไปไม่มากก็น้อย ดังนั้น จึงบอกได้เลยว่า การตั้งเป้าเล่นฟุตบอลของเค้าหลังจากที่เกษียรจากวงการนักวิ่งของเค้าแล้วนั้น ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ หรือการทำเอาหน้า ต้องการโด่งดังแน่นอน แต่กลับเป็นความฝันมากกว่า ความฝันที่อยากจะให้เป็นจริงสักวันของโบลต์

เข้าใกล้ความเป็นจริง

โบลต์ไม่ได้แค่ฝันอย่างเดียว แต่ลงมือทำจริงด้วย เพราะว่าหลังจากที่เค้าเกษียรจากการวิ่งแล้ว เค้าได้เริ่มทดสอบฝีเท้ากับหลาย ๆ ทีมดังในยุโรปมากมาย ด้วยข้อเสนอของการทดสอบฝีเท้า เป็นระยะเวลาสั้น ๆ คล้าย ๆ กันกับทีมดังเวลาต้องการลองฝีเท้าเด็กวัยรุ่น และอายุไม่มากจากเยาวชน ว่าฝีเท้าถึงหรือไม่ เช่น สโมสรดอร์ทมุนด์ และทีมในนอร์เวย์กับแอฟริกาอีกด้วย แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ อาจจะเพราะฝีเท้าของเค้ายังไม่เข้าตาทีมต่าง ๆ และความเร็วไม่ใช่สิ่งเดียวที่สำคัญ แม้ว่าเค้าจะเล่นตำแหน่งปีกหรือศูนย์หน้าได้ และตอนนี้ถึงแม้ว่าเค้าจะยังได้เงินจากสัญญานักวิ่งอีกปีละ 30 กว่าล้านเหรียญ ติดอันดับนักกีฬารวยอันดับ 45 ในโลก โบลต์กำลังจะไปร่วมเล่นกับทีม มารีนเนอร์ ทีมเล็กในลีก เอ ของนิวซีแลนด์ที่ค่าแรงเทียบไม่ได้เลยกับเงินเดือนของเค้า แต่โบลต์บอกว่าที่ทำทั้งหมดนี้เพราะความฝันส่วนตัวล้วน ๆ

โบลต์คงจะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีของบางคนที่กำลังต้องการจะเอาดีด้านการเตะฟุตบอลแน่ ๆ เพราะความฝันนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับคนที่ไม่ทำ แต่ทำอย่างไม่ยอมแพ้ ซึ่งวันหนึ่งมันต้องสำเร็จแน่นอน

 

นักฟุตบอลดูแลสุขภาพตัวเองอย่างไรบ้าง?

ถ้าจะถามว่าคนเราคิดถึงอะไรเมื่อพูดถึงนักฟุตบอล กับการเตะบอลที่แข่งขันกันและถ่ายทอดสดผ่านทางทีวี คำตอบก็คงจะเป็นการเล่นที่เร่าร้อนบนสนามหญ้า การแสดงลีลา ทักษะ ลวดลาย และยิงประตูสวย ๆ นั่นเอง แต่คำตอบพวกนี้ก็มักจะทำให้หลายคนลืมความจริงอีกด้านของนักฟุตบอลไป นั่นก็คือ นักบอลมีอีกชีวิตหนึ่ง นอกสนามเช่นกัน ที่ต้องดูและเพื่อจะเตะบอลได้ ชีวิตอีกด้านคือชีวิตธรรมดา กิน นอน พักผ่อน แต่ทว่ามีความลับและความเคร่งของชีวิตด้านนี้ที่น่าสนใจด้วย และหนึ่งในด้านนี้นี่เอง ที่สามารถส่งผลกับนักบอลให้รุ่งหรือดับ หรือรุ่งแล้วดับก่อนวัยอันควรได้เลยทีเดียว วันนี้เราอยากให้ได้มาลองชมมุมหายากนี้กันสักหน่อย

การนอนหลับพักผ่อน

ถ้าจะถามนักฟุตบอลว่าทำไมเล่นเก่ง หลายคนคงจะตอบว่าฝึกซ้อม ฝึกซ้อม แล้วก็ฝึกซ้อม แต่ถ้าถามลงลึกไปอีกคือ แล้วทำไมจึงฝึกซ้อมได้เยอะแบบนี้ คำตอบคือ การนอนหลับพักผ่อนนั่นเอง เคล็ดลับคือ ก่อนจะถึงวันซ้อม นักบอลที่เก่งควรจะนอนหลับให้พอเพียงมากถึง 8 ชั่วโมงต่อคืนเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มสมรรถนะให้กับการฝึกซ้อมที่สดใส มีพลังและพร้อมเต็มที่  ที่จริงบางคนถึงกับ มีการนอนกลางวัน ภาคบ่าย เพิ่มอีก 1- 2 ชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ว่า 8 ชั่วโมงค่อนข้างพอเหมาะแล้ว นอกจากนั้นการเล่นบอลปกติมักจะช่วงหัวค่ำ หรือ การแข่งขันเวลาเย็นบ้านเค้า เวลาของการกลับถึงบ้านของนักบอลจึงยิ่งดึก ดังนั้น การนอนอาจจะดึกไปด้วย บางคนเลยนอนจนสาย และถ้าหากนอนหลับไม่พอแล้ว การเล่นจะส่งผลอย่างเห็นได้ชัดแน่นอน

การกิน และมื้ออาหาร

สิ่งต่อไปที่จำเป็นสำหรับด้านชีวิตปกติของนักบอลก็คือการกิน และเมนูอาหารที่จริงสำหรับคนธรรมดาด้านนี้ก็เรียกว่าสำคัญอยู่แล้ว เพราะว่าชีวิตการทำงาน การเรียนหนังสือ ขนาดแค่ใช้สมอง ไม่ได้ใช้ร่างกายยังต้องกินดี กินคลีนเลย แล้วสำหรับนักบอลระดับโลก คงจะยิ่งไปกว่านั้นหลายเท่า ดังนั้น นักบอลชอบทานอาหารประเภทอะไรบ้าง คำตอบคือ  พาสต้าไก่ เพราะว่ามีทั้งแป้งและเนื้อแบบไม่ค่อยมีไขมัน และบางครั้งก็เนื้อปลาด้วย ฟังดูเหมือนอาหารของคนปกติชัด ๆ นี่หน่า ก็ถูกต้องเพราะว่านักบอลก็ปกติ แต่ว่าวันไหนมีการเตะบอลที่บ่ายหรือเช้าหน่อย คืนก่อนหน้ามื้อนั้นจะต้องกินเผื่อไว้เยอะหน่อย เพราะว่าตอนเช้าจะกินไม่ค่อยได้มากก่อนจะลงเตะนั่นเอง ตอนก่อนจะลงเล่นเกมสำคัญนักบอลจะคุมอาหารในวันนั้นไม่ให้อึดอึด ดังนั้นสโมสรจะเตรียมอาหารเบา ๆ เช่น กล้วย และ นม หรือขนมหวาน และที่สนามตอนเดินทางไปพร้อมลงเตะ ถ้าต้องคิดว่ากินอะไรอีกหน่อย ก็จะมีอาหารรูปแบบเป็นแท่ง หรือเจลสำหรับนักกีฬา ที่วงการวิทยาศาสตร์กีฬาคิดค้นมาให้เลย

ได้ยินแบบนี้แล้ว ถ้าอยากเป็นนักฟุตบอลที่เก่ง ก็ต้องลองนำไปปรับใช้กันให้ดี ที่จริงแล้ว แค่กินให้ครบ 5 หมู่ ครบ 3 มื้อ ในปริมาณที่เพียงพอ ฝึกซ้อมอย่างพอดี นอนหลับให้พอ ก็คล้ายกับกิจวัตรเหมือนนักเตะเลย ทีนี้เราอาจจะเล่นบอลเก่งขึ้นก็ได้

 

จะทำตัวยังไงดีเมื่อต้องเป็นยิงจุดโทษให้ทีม?

หลาย ๆ คนที่เป็นแฟนบอล หรือแม้แต่ตัวนักฟุตบอลเอง คงจะจดจำภาพที่ระทึกใจและบีบหัวใจสุด ทุกครั้งที่ชมการถ่ายทอดสดฟุตบอล โดยเฉพาะเมื่อถึงการดวลกันด้วยใจและความนิ่ง ในช่วงเวลาที่เรียกว่า การตัดสินยิงจุดโทษ หลังจากที่ทั้งสองทีมเสมอกันในเวลาปกติ และไม่สามารถหาผู้ชนะได้ หรือบางโอกาสระหว่างเกมที่มีการทำฟาวล์ในเขตโทษจนกรรมการเป่าปรี๊ดให้ลูกโทษทันที เรียกได้ว่าไม่ว่าจะลูกจุดโทษแบบไหน การเป็นนักเตะที่รับอาสายิงน่าจะเป็นงานที่กดดัน และต้องใช้สภาพจิตใจแข็งแกร่งไม่น้อย ดังนั้น หากเวลาเล่นฟุตบอลจริง ๆ ของคุณเองต้องเจอกับสถานการณ์นี้ เราจะทำอย่างไรได้บ้าง เป็นคำถามที่ดีสำหรับเรืองทีเลยทีเดียว

ฝึกซ้อมการยิงจุดโทษให้เยอะ ๆ ล่วงหน้า

ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นนักบอลที่เก่งแค่ไหน หรือแม้แต่เล่นตำแหน่งศูนย์หน้ามือหนึ่ง ยิงประตูแม่นราวกับจับวาง แม้แต่มุมต่าง ๆ ของประตูก็เลือกได้เลย อย่าคิดล่ะว่าการยิงจุดโทษจะง่ายแบบนั้น เพราะว่าในการเล่นเวลาปกติเกมเปิดไปเรื่อย ไม่ได้มีความกดดันถาโถมเข้ามาเหมือนกับการหยุดเวลา แล้วให้ทุกคนในสนาม กองเชียร์ ทั้งเพื่อน ทั้งคู่แข่ง ทั้งกรรมการ มาหยุดดูคนยิงคนเดียว แถมในสมองก็มักจะมีความคิดลังเล การกลัวยิงไม่เข้า หรือต้องมีเวลาให้คิดเดาใจการพุ่งไปของนายทวาร ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือ การซ้อมยิงจุดโทษบ่อย ๆ ยิ่งถ้ารู้ว่าจะมีการแข่งขันที่ต่อเวลาได้ ยิ่งต้องซ้อมหนัก การซ้อมก็ไม่ยากหานายทวารมา เล่นเดาใจวางลูกแล้วยิงให้บ่อยที่สุด เล่นลองทุกมุม ทุกความแรง และรูปแบบการยืนการวางเท้า แล้วคุณจะเพิ่มโอกาสยิงเข้าแน่นอน

เอาชนะตัวเองในหัวและในความคิด

สิ่งต่อไปเรียกว่าสำคัญไม่น้อยกว่าสิ่งที่มองเห็นแล้วซ้อมได้เลย นั่นคือการบอกและสั่งความคิดในสมองของตัวเองให้คิดไปในทางบวก และเสริมสร้าง ไม่ใช่ลังเล ขาดความมั่นใจ จนทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย วิธีนี้ทำได้ไม่ยากคือ ให้จินตนาการตัวเองว่ายิงเข้าไว้ก่อน นี่หมายความว่า ตอนก้าวไปยิงจุดโทษ ขอให้มีภาพในหัวว่า บอลมันเข้าไปตุงตาข่าย และแน่นอนว่าเข้าเสมอ ๆ ต่อไปก็นึกภาพการฉลองความยินดีส่วนตัวไว้ด้วย เช่น จะวิ่งไปกระโดดที่ไหน จะยกมือข้างไหนไปบนฟ้าดี รวมทั้งจะไปแสดงความดีใจกับแฟน ๆ ข้างหลังหรือเปล่า ทั้งหมดนี้จะช่วยให้คนยิงไม่คิดเรื่องไม่ดีไปก่อนนั่นเอง

เมื่อลองทั้ง 2 วิธีนี้แล้ว ก็ขอให้นำไปใช้ปรับปรุงการเล่นฟุตบอลดูโดยเฉพาะเมื่อทีมได้ลูกจุดโทษ เราอาจจะอาสาตัวเองเป็นผู้ยิงเลยก็ได้  หรือไม่ในทางตรงข้าม ยามที่กำลังดูบอลและมีลูกจุดโทษขอให้จินตนาการตามไปด้วย อาจจะไม่ตื่นเต้นเกินไปอีกเลยก็ได้

 

ทีมไหนเป็นตัวเก็งพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018 – 2019 หนนี้?

การแข่งขันฟุตบอลรายการพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เป็นการแข่งขันฟุตบอลลีกที่เรียกได้ว่าโด่งดังและมีชื่อเสียงที่สุดสำหรับแฟนบอลในประเทศไทย สำหรับฤดูกาลล่าสุดในปี 2018 – 2019 นี้ เรียกได้ว่านับวันยิ่งจะทวีความเข้มข้นในการขับเคี่ยวลุ้นแชมป์กันมากขึ้นเรื่อย ยิ่งในปีที่จะถึงนี้ ที่เพิ่งจะจบการแข่งขันฟุตบอลโลกล่าสุดที่ประเทศรัสเซีย 2018 มาหมาด ๆ ก็ยิ่งจะทำให้อารมณ์ ความอิน และความต้องการเสพฟุตบอลของแฟน ๆ ยังอยู่ในใจต่อเนื่อง ดังนั้น สำหรับพรีเมียร์ลีกอังกฤษที่เพิ่งเริ่มเปิดฉากแข่งขันไปนั้น จะมีทีมสโมสรไหนบ้างที่จะถือว่าเป็นตัวเก็ง มีสิทธิจะลุ้นคว้าแชมป์ไปครองในที่สุด ลองไปชมกันหน่อย

2 ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์

เหมือนกับทุกฤดูกาลของพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ที่นับย้อนไป 6-7 ปีที่ผ่านมา เมืองแมนเชสเตอร์ที่ขึ้นชื่อเรื่องฟุตบอลอันดับหนึ่งของประเทศ ส่ง 2 ทีมยักษ์เข้าประกวดเช่นเคย ทีมแรกคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือเรือใบสีฟ้า แชมป์เก่าจากปีที่แล้วนั่นเอง แน่นอนว่าแชมป์เก่าก็ต้องป้องกันแชมป์เป็นธรรมดา แต่ว่าสำหรับลูกทีมของกวาดิโอล่าแล้ว แนวโน้มของความแรงนับว่าแรงขึ้นทุกปีตั้งแต่ปีแรกที่วืดแชมป์ จนปีที่แล้วได้แชมป์ จนมาถึงปีนี้ ทุกฝ่ายต่างมองเห็นว่าการเล่นเป็นระบบสวยงาม และความดุดันยิ่งมากขึ้น ๆ เมื่อนักเตะเข้าใจปรัชญาของโค้ช
ส่วนอีกทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือผีแดง ทีมขวัญใจเบอร์หนึ่งของแฟนบอลไทยนั่นเอง สาเหตุก็เพราะว่าในปีที่แล้วพวกเค้าพลาดแชมป์แบบหมดลุคดูไม่จืด ไม่ได้แชมป์ใด ๆ เลย หัวเรืออย่างมูริญโญ่จึงไม่อยู่เฉยแน่ ๆ ในฐานะจอมวางแผนและแก้เกมมือหนึ่ง จึงนับว่าน่าติดตามมาก

หงส์แดงและสิงโตน้ำเงิน

ปีนี้ไม่ต้องตกใจที่มีชื่อของหงส์แดง ลิเวอร์พูลมาเกี่ยวข้องด้วย เพราะว่าปีที่ผ่านมาพวกเค้าแสดงให้โลกเห็นแล้วว่า เมื่อเกมรุกที่จัดจ้านสมชื่อเครื่องจักรสีแดงคืนชีพ ด้วยมนต์ตราของเทพเจ้าซาลาห์ที่โด่งดังไปทั่วยุโรปในปีเดียว เริ่มทำงานเมื่อไหร่ ก็แทบจะไม่มีทีมไหนรอดจากการเสียประตูได้ ส่วนเกมรับกับนายทวารจุดอ่อนมาตอนนี้พวกเค้าแก้ไขด้วยการซื้อของดีราคาแพงมาอุดแล้ว จึงหมดปัญหา
ส่วนทางด้านทีมใหญ่อย่างเชลซีก็เข้าตำราเดิม ทีมสิงโตน้ำเงินครามตัดสินใจเปลี่ยนโค้ชใหม่อีกครั้ง เป็นซาร์รี่จาก นาโปลี ก็เรียกได้ว่าปรัชญาการเล่นเปลี่ยนอีก และเดาทางไม่ออกอีกครั้ง จึงตัดพวกเค้าออกไม่ได้แน่ ๆ

ทั้ง 4 ทีมนี้จัดว่าเป็นทีมที่ฟันธงได้เลยว่า จะต้องลุ้นแชมป์กันอย่างขับเคี่ยวสูสีไปจนถึงนัดท้าย ๆ เพราะคุณภาพและความสดใหม่ในด้านทรัพยากรของทุกสโมสร จึงเรียกว่าแฟนบอลอดใจรอกันให้มีการแข่งขันไม่ไหวแล้วแน่