Category: ฟุตบอลอังกฤษ (page 2 of 2)

สิ่งที่สเปอร์ขาดไปในการเป็นทีมใหญ่อย่างถาวร

สโมสรท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ หรือ สเปอร์ที่เราคุ้นเคย ยอดทีมจากลอนดอนเหนือที่สร้างผลงานได้โดนเด่นในช่วงสี่ฤดูกาลหลังถึงขนาดเกือบเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่เลสเตอร์ ซิตี้สร้างความมหัศจรรย์ได้ พวกเขาพยายามสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นบิ๊กซิกส์ของพรีเมียร์ลีก แต่ไฉนยังดูห่างไกลจากการเป็นทีมใหญ่อย่างที่ต้องการ และนี่คือจุดด้อยที่สเปอร์เป็นอยู่

ความสำเร็จครั้งสุดท้ายเมื่อนานมาแล้ว

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสเปอร์เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษเพียง 2 ครั้งเท่านั้น และมันเกิดขึ้นในปี 1950/1951 กับฤดูกาล 1960/1961 นั่นแปลว่าพวกเขาไม่เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดมานานเกือบ 60 ปีแล้ว พอไปดูที่ถ้วยเอฟเอ คัพ หนสุดท้ายที่พวกเขาชูถ้วยแชมป์เกิดในปี 1990/1991 ซึ่งก็ผ่านมานานเกือบยี่สิบปีแล้ว ขณะที่ถ้วยแชมป์ใบสุดท้ายที่พวกเขาได้มาคือถ้วยลีก คัพก็เกิดขึ้นในฤดูกาล 2007/2008 ซึ่งผ่านมาแล้ว 10 ปี นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่ทีมที่คุ้นเคยกับการคว้าแชมป์เมื่อเทียบกับบิ๊กทีมรายอื่น

ขาดนักเตะระดับจะเป็นตำนาน

ในขณะที่สโมสรอื่นมีนักเตะที่กลายเป็นตำนานต่อรุ่นกันมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดสร้างเอริค คันโตน่า, และเดวิด เบ็คแฮม หรืออย่างเช่นลิเวอร์พูลมีสตีเว่น เจอราร์ดมาถึงโมฮาเหม็ด ซาลาห์ หรืออาร์เซนอลที่มีเธียร์รี่ อองรี สเปอร์กลับไม่มีผู้เล่นชั้นแม่เหล็กที่สามารถสร้างปรากฏการณ์อะไรบางอย่างที่สโมสรได้อย่างต่อเนื่อง นักเตะที่พอมีชื่อเสียงของสเปอร์ไม่แคล้วต้องย้ายออกไปจากทีมหรือไม่เช่นนั้นก็ฟอร์มตกลง ทั้งลูก้า โมดริช ที่ได้บัลลงดอร์หรือแกเร็ธ เบลที่ย้ายไปประสบความสำเร็จกับราชันชุดขาว นักเตะที่เข้าข่ายตอนนี้ก็มีเพียงแฮร์รี่ เคนเท่านั้น ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะอยู่กับทีมไปอีกนานแค่ไหน

เจ้าของใจไม่ใหญ่

สเปอร์เป็นสโมสรที่มีปัญหาในการซื้อผู้เล่น พวกเขาใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวังมากเกินไป และให้ความสำคัญกับผลกำไรเสียจนเลือกขายผู้เล่นคนสำคัญออกไปแลกกับกำไรค่าตัว แม้กระทั่งในฤดูกาลปัจจุบันที่พวกเขาควรต่อยอดทีมที่กำลังเข้าที่เข้าทางด้วยผู้เล่นที่โปเช็ตติโน่อยากได้ ปรากฏว่าสโมสรยื่นคำขาดว่าจะไม่ซื้อผู้เล่นถ้าไม่ขายตัวเก่าออกไป เพราะพวกเขาเอาเงินไปทุ่มสร้างสนามใหม่ ผิดกับลิเวอร์พูลที่สนามใหม่ก็ต่อเติม แต่ยังเจียดเงินอีกส่วนสำหรับการสร้างทีมให้ผู้จัดการทีมเอาไปใช้

อะคาเดมี่ปั้นเด็กได้น้อย

อะคาเดมี่ของสเปอร์มีเจ้าหน้าที่ทั้งฟูลไทม์และพาร์ทไทม์รวม 30 คนและมีเครือข่ายแมวมองทั่วโลกราว 35 คน รับผิดชอบดูแลเด็กอายุ 8 ถึง 18 ปีได้ราว 150 คน ซึ่งมันน้อยมากเมื่อเทียบกับโอกาสของนักเตะที่จะกลายเป็นเพชรในอนาคต ตลอดช่วงหลายปีมานี้สเปอร์สร้างนักเตะชั้นยอดขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่น้อยมาก ยิ่งชุดปัจจุบันมีเพียงแฮร์รี่ เคน, แฮร์รี่ วิงส์, ไคลน์ วอล์กเกอร์-ปีเตอร์และแดนนี่ โรส 4 รายเท่านั้นที่เป็นผู้เล่นของสโมสรที่เติบโตมาจากอะคาเดมี่

ผลงานใน 3 ฤดูกาลหลัง สเปอร์อาจจะจบด้วยโควต้าไปแชมเปี้ยนลีกได้อย่างต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังอยู่ห่างไกลจากความน่าเกรงขามพอสมควร บางทีพวกเขาอาจจะต้องปฏิวัติแนวทางบางอย่างของสโมสร เช่น การแหวกเพดานค่าใช้จ่ายเพื่อรั้งตัวผู้เล่น หรือการทุ่มซื้อนักเตะชั้นเลิศเข้ามาบ้าง ยิ่งตอนนี้พวกเขากำลังจะมีสนามใหม่ที่ความจุเพิ่มขึ้น หากใช้แนวคิดรอใช้หนี้ค่าสนามเสร็จค่อยขยับ พวกเขาอาจจะหล่นลงไปอยู่ข้างล่างทั้งที่ไต่ขึ้นมาจะถึงยอดอยู่แล้วก็ได้

 

 

ทีมอื่นมีงานต้องทำ แต่ลิเวอร์พูลขยับใกล้คำว่าสมบูรณ์

ลิเวอร์พูลยึดจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกไว้แน่น ด้วยการเอาชนะในเกมที่พวกเขาต้องการชนะ หรือหากจะพูดตรง ๆ ก็คือพวกเขาชนะได้ด้วยรูปแบบการเล่นที่ลงตัวแล้ว ไม่ว่าจะจัดแผนการเล่นอย่างไรในตอนนี้ลิเวอร์พูลสามารถเอาชนะได้ทุกเกมจากการใช้คอนเซ็ปต์ เกมรับเหนียวแน่น เกมรุกดุดัน

ผ่านครบสิบเก้าเกม ลิเวอร์พูลเล่นเหมือนเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ด้วยสไตล์ที่แน่นอน แม้ในเกมที่พวกเขาเกือบเอาตัวไม่รอด ก็ยังมองเห็นได้ว่ารูปทรงของการเล่นไม่ได้ผิดวิธีไปเท่าไหร่ เหลือเพียงว่าในเกมนั้นพวกเขาจะพลาดทำประตูไม่ได้ หรือพลาดปล่อยให้คู่แข่งทำประตูได้หรือเปล่า ซึ่งมันเป็นตามที่พวกเขาต้องการเกือบทั้งหมด

แนวทางการเล่นของลิเวอร์พูลขยับไปถึงจุดที่ใกล้เคียงคำว่าสมบูรณ์แล้ว แต่ทีมอื่นเพิ่งนับหนึ่งสำหรับบางอย่าง สเปอร์ที่เล่นได้ยอดเยี่ยมในช่วงหลังจนขึ้นมาเป็นรองจ่าฝูง ผลงานขนาดนี้ทำให้นักเตะตัวหลักถูกเล็งจากสโมสรอื่นทั่วยุโรป ซึ่งส่วนตัวแล้วสเปอร์ยังมีปัญหาเรื่องผู้เล่นสำรองที่ทดแทนตัวหลักไม่ได้ งานนี้พอเช็ตติโน่รู้ดีว่าสเปอร์ไม่พร้อมรับมืออาการแกว่ง หากขาดผู้เล่นหลักไปแม้แค่สักคนเดียว

แมนเชสเตอร์ ซิตี้สะดุดพ่าย 3 ใน 4 เกมหลัง พวกเขาหาฟอร์มการเล่นที่รวดเร็ว ดุดันและมีประสิทธิภาพแบบฤดูกาลที่แล้วหรือต้นฤดูกาลนี้ยังไม่เจอ ความยอดเยี่ยมของทัพเรือใบที่ผ่านมาคือการที่พวกเขาสามารถบุกได้หลากหลายรูปแบบและทุกทิศทุกทาง ทว่าพวกเขาดูเหมือนเรือที่ผ่อนคันเร่ง ตอนนี้เป็บต้องพาทีมกลับมาชนะเพื่อเรียกสติให้ได้ก่อน หลังจากนั้นค่อยตั้งเป้าไล่ตามลิเวอร์พูลโดยไม่พลาดแพ้ไปอีก

อาร์เซนอลเผชิญปัญหากองหลังเสียประตูง่ายเกินไป ซึ่งสัญญาณอันตรายนี้ถูกส่งออกมาเตือนเป็นเวลานานแล้ว หากแต่แนวรุกได้ช่วยลดทอนความน่ากังวลใจให้มาตลอด จนกระทั่งตอนนี้ที่แนวรุกเริ่มถูกจับทางได้ อูไน เอเมรีต้องหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสำหรับแนวรับเรื่อยมา ดีว่ามันมาถึงจังหวะตลาดซื้อขายเปิดพอดี ถ้าช้ากว่านี้อาจจะเป็นปัญหาใหญ่

เชลซีของเมาริซิโอ ซาร์รี่ดูจะแกว่งไปไม่น้อยจากความไม่สม่ำเสมอของเกมรุก ยิ่งตัวกองหน้าทั้งหมดในมือไม่สามารถฝากความหวังได้ การจะให้เอเด็น อาซาร์แบกทีมทุกเกมเป็นไปได้ยาก เพราะเมื่อคู่แข่งรู้ว่าการปิดกองกลางเบลเยี่ยมเป็นแผนขั้นต้นในการหยุดเชลซี ถ้าพวกเขาทำสำเร็จเชลซีก็จะไปไม่เป็น ต้องนี้บางทีมทำได้และบางทีมทำไม่ได้ ดังนั้นการที่ฟอร์มพวกเขาแกว่งก็เป็นเพราะว่าอาซาร์เล่นได้หรือไม่ในเกมนั้น ๆ

สิ่งที่ลิเวอร์พูลได้เปรียบใครก็คือตอนนี้ทีมค่อนข้างลงตัว สามารถหมุนเวียนแผนการเล่นได้โดยที่ไม่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในแต่ละแผนที่ใช้ เกมการเล่นของหงส์แดงในแต่ละแผนทำออกมาได้มีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ ถึงตรงนี้ลิเวอร์พูลสมบูรณ์พร้อมกว่าใครในการลงแข่งขันครึ่งทางที่เหลือ

 

หงส์แดงปีนี้จะได้แชมป์หรือไม่ มาฟังกันจากปากคล็อพ

หลังจากที่สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ทำผลงานเปิดฤดูกาลได้เป็นอย่างดี หงส์แดงสามารถเก็บชัยชนะได้ทุกนัด ทำให้พวกเค้าขึ้นไปอยู่ในกลุ่มจ่าฝูงลุ้นแชมป์ได้อย่างรวดเร็ว และเรียกได้ว่าเป็นการเริ่มฤดูกาลของหงส์แดงที่ดีที่สุดในรอบหลาย ๆ ปีเลย เพราะว่าปีที่ผ่าน ๆ มานั้น พวกเค้ามักจะสะดุดตั้งแต่ตอนเริ่มต้นฤดูกาล เพียงแค่ผ่านไปไม่กี่นัดเท่านั้น บางครั้ง ความพ่ายแพ้มาเยือนตั้งแต่ 2 นัดแรกก็เคยมาแล้วด้วยซ้ำ ดังนั้น ปีนี้พวกเค้าจะได้ไปไกลถึงฝั่งฝันหรือไม่ ในเมื่อทำผลงานให้แฟน ๆ ได้อุ่นใจขนาดนี้ ให้เราไปฟังจากปากของเจอร์เกลน คล็อพกัน

คล็อปป็ถ่อมตัว

เจอร์เกลน คล็อพนั้น ตั้งแต่ตกลงรับงานเข้ามาคุมทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูลได้หลายปีติดกัน แทบจะไม่เคยปริปาก พูดถึงเรื่องการคว้าแชมป์ใดๆ ให้แฟนหงส์แดงได้ยินมีความสุขบ้างเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะว่าเค้าเองรู้ตัวดีว่า การจะมาเปลี่ยนแปลงทีมให้กลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ได้ทันทีในการเล่นไม่กี่นัด หลังจากที่ทีมเคยเป็นทีมกลางตาราง ค่อนไปทางท้ายมาก่อน นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ในปีสองปีแน่นอน ดังนั้น เมื่อฤดูกาลนี้เริ่มขึ้นอีกเช่นกัน เค้าก็ยังรักษาแนวความถ่อมตัวไว้ด้วยการให้สัมภาษณ์ว่า ผมไม่ได้คิดถึงการให้ความเห็นเรื่องนี้เลย การคว้าแชมป์ไม่ได้เป็นหัวข้อสนทนาของพวกเรา ณ ตอนนี้ เค้ายังได้ให้คำพูดต่อว่า มันยังเร็วเกินไปที่พูดถึงเรื่องแชมป์หรือไม่แชมป์ และแม้ว่าจะมีการทำผลงานชนะแมน ซิตี้ในเกมพรีซีซั่น จนโดนสื่อถามว่า นี่มันของจริงแล้วนี่นา เค้าก็ยังตอบว่า ผลงานที่ดีแค่ 2 เกม เร็วเกินไป จะมาตัดสินอะไรง่าย ๆ ก็คงไม่ได้ ถ้าสื่ออยากจะพูดอะไรก็เชิญได้เลย แต่อย่ามายุ่งกับทีมของคล็อพ

ความเป็นจริงในสนาม

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่า นายใหญ่อย่างคล็อพจะถ่อมตัวลงมาเหมือนเช่นเคยที่ปฏิบัติมา แต่ว่าผลงานในสนามของพวกเค้านั้นยังร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง และการทำชัยชนะได้มาอย่างง่าย ๆ เสียด้วยซ้ำ ก็คงต้องบอกว่าแฟน ๆ และนักฟุตบอลทุกคน น่าจะคิดตรงข้ามกับโค้ชรายนี้แน่นอน เพราะตอนนี้พวกเค้ากลายเป็นตัวเก็งมาแน่นอนแล้ว ในขณะที่ปืนโต หรือ ไก่เดือยทอง หรือแม้แต่ปีศาจแดงเอง ก็ไม่ได้ทำผลงานน่าประทับใจนัก

หงส์แดงลิเวอร์พูล และแฟนบอลทั้งโลก ต่างรอคอยการคว้าแชมป์ครั้งแรกหลังจากหลายสิบปีมานาน ดังนั้น ปีนี้แม้จะถ่อมตน เตรียมใจนำหน้าไว้ก่อน แต่กับเหล่าแฟน ๆ เดอะค็อปแล้ว ก็ขอให้ความคาดหวัง และจับตามองความตั้งใจของคล็อพกับลูกทีม ที่อยากจะนำพาทีมคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกมาให้แฟน ๆ ชื่นใจกันให้ได้นั่นเองในปีนี้

 

ทำไมผีแดงถึงแพ้ไบรท์ตันถึง 2 ปีติดกัน

โจเซ่ มูรินโญ่ เริ่มคุมทีมไปเพียงเกมที่ 2 ของฤดูกาล 2018-2019 แล้วก็แพ้ให้กับทีมน้องใหม่ปีที่แล้ว อย่างไบรท์ตันไปแบบเหลือเชื่อ เรียกได้ว่าฟอร์มการเล่นค้านสายตาแฟนผีทั่วโลก และเรียกได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้ที่มาเร็วเหลือเกิน 3-2 คือสกอร์บอร์ดสุดท้ายที่เราได้รับรู้หลังสิ้นเสียงนกหวีด และเรียกได้ว่าทำใจยอมรับได้ยากมาก แต่อะไรคือความผิดพลาดของการแพ้ครั้งนี้ และการแพ้ครั้งนี้จะกระทบอะไรกับความหวังลุ้นแชมป์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้บ้าง หลังจากที่ปีที่ผ่านมา พวกเค้าก็จบฤดูกาลไปแบบวืดทุกแชมป์ไปแล้ว จนความหวังของปีนี้ถูกตั้งไว้สูงมากจากแฟนบอลทั่วโลก เราลองมาหาคำตอบกัน

ทัศนะคติในการเล่นของนักเตะ

น้ามูที่จริงเคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อหลายครั้งแล้วในการวิจารณ์นักเตะให้ต้องรู้ตัวแบบจัง ๆ ไม่มีอ้อมค้อม และบ่อยครั้งจุดของการว่าของน้ามูคือ ทัศนะ และความไม่ทุ่มเทเต็มที่ ยามที่ถูกส่งลงเล่นในสนาม เพราะว่าการเป็นทีมใหญ่อย่างผีแดงนั้น นักเตะถูกเรียกร้องคาดหวังว่าจะต้องใส่เต็มร้อยมากกว่าทีมอื่นอยู่แล้ว แต่บางครั้งในแต่ละเกมการแข่งขัน ตั้งแต่ฤดูกาลก่อน ๆ มันบ่งบอกชัดเจนว่า นักเตะหลายคนเล่นแบบที่ไม่อยากชนะ เพราะว่าทัศนะที่เห็นคือไม่ทุ่มเท ไม่จำเป็น หลังจากที่ทุกคนได้ค่าเหนื่อยก้อนโตอยู่แล้ว วันๆ ก็รับเงินสบายๆ แม้แต่ป็อกบาเอง ก็ออกมายอมรับในจุดนี้ว่า นักเตะไบรท์ตันมีทัศนะดีกว่าเรา และต้องการชนะด้วยความโกรธความมุมานะ ที่เห็นได้ชัดแม้ว่าด้อยกว่า นี่จึงเป็นเรื่องที่นักเตะหลายคนของผีแดงชุดแพ้ไบรท์ตันต้องรีบทำการบ้านด่วน

การขาดนักเตะชั้นดี

ว่ากันว่าปีนี้เป็นปีที่มูรินโญ่เสริมทัพได้น้อยกว่าปีอื่น ๆ มาก แม้ว่าจะไม่ได้แชมป์และทีมเป็นสุดยอดของความรวยต่อเนื่อง เพราะว่านักเตะที่ซื้อเข้ามาในเกมนี้เห็นได้ชัดว่าขาดคุณภาพอยู่มาก เช่น เฟร็ด ชาวบราซิลตัวใหม่ เริ่มจะถูกมองแล้วว่าไม่มีความเจ๋งสมกับการรอคอย และเล่นไม่ออก ปรับตัวไม่ได้ และที่มากไปกว่านั้น เป็นนักเตะเก่า เช่นกองหลังอย่างอิริค ไบยี่ และวิคเตอร์ ลินเดลอฟ ที่ไม่สามารถแสดงผลงานที่ดีได้เลย หลังจากการป้องกันที่ลุกลี้ลุกลน จนทำให้เสียรวดเดียว 2 ประตูตอนเริ่มเกม และยังแสดงความเฟอะฟะ ไม่นิ่งออกมาตลอด ทำให้นักเตะชั้นดีจำเป็นมากสำหรับผีแดงในฤดูกาลนี้หากต้องการจะลุ้นแชมป์อีก

ปีนี้ถึงเหล่าพลพรรคเรดอาร์มี่อาจจะแพ้ในเกมที่ 2 แต่พวกเขาก็ยังมีอีกหลายเกมให้แก้ตัวจนกว่าจะจบฤดูกาล ปีนี้จึงถือว่าจุดอ่อนของพวกเค้าแสดงออกอย่างรวดเร็ว ทำให้ยังมีเวลาแก้ไขทัน ขอให้แฟนๆ อดทนรอดูกันต่อไป

 

โชเซ่ มูรินโญ่ กับอาถรรพ์ปีที่ 3 ภายใต้บัลลังก์สีแดง

โชเซ่ มูรินโญ่ หรือน้ามูที่แฟนบอลชาวไทยเรียกแซวกัน เป็นชื่อที่เชื่อขนมกินได้ หรือเป็นหนึ่งนามโค้ชระดับโลกที่เรียกได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จัก แถมยังมีฝีไม้ลายมือการทำทีมที่โดดเด่น เป็นอัจฉริยะในการใช้สมอง วางแทคติกและแก้เกมอย่างหาตัวจับยากคนหนึ่งของวงการฟุตบอล และนอกจากนั้น เค้ายังมีบุคลิกที่ไม่เหมือนใคร การพูดจาสื่อสารที่ยียวนอย่างมีเอกลักษณ์ ทำให้เค้าโดดเด่นอย่างมาก ทั้งกับการคุมทีมและลีลาข้างสนาม แต่ด้วยเกียรติยศระดับถ้วยยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก 2 ใบ บอลแชมป์ลีกอีก 8 สมัย ต่างกันตามประเทศมากมาย และอีก 15 ถ้วยชัยชนะฟุตบอล ตอกย้ำอย่างดีสำหรับฝีมือของเค้า แต่ประเด็นคือเค้ามีจุดอ่อนอยู่ที่ปีที่สาม อาถรรพ์นี้คืออะไรกันแน่?

อาถรรพ์ปีที่ 3 ที่ยังคงติดตัว โจเซ่ มูรินโญ่

น้ามูไม่เคยคุมทีมไหนได้มากกว่า 3 ปีติดต่อกันเลย ยกเว้นครั้งเดียวที่สนามแสตมฟอร์ดของเชลซี ครั้งแรกในการทำงานอังกฤษของเค้า ที่คุมยาวถึง 4 ปี นอกเหนือจากนั้น ไม่เค้าลาออกเองอย่างเต็มใจ ก็ต้องถูกไล่ออกอย่างสม่ำเสมอ จนเรียกได้ว่าอาถรรพ์ของเค้าไปแล้ว เท่านั้นไม่พอ เมื่อมองกันดูตามสถิติแล้ว การได้ถ้วยรางวัลต่าง ๆ ของน้ามู มักจะมาในยามเริ่มรับงานปีแรก หรือสองปีแรกเสมอ ประหนึ่งว่าพอเปลี่ยนทีมแล้วมีแรงไฟกระตุ้นมากมาย จนแทบจะพาทีมได้แชมป์ทุกครั้งที่เริ่มรับงาน จนเป็นที่ยอมรับกล่าวขานก็ว่าได้ ส่วนพอมาถึงปีที่ 3 นั้น จำนวนถ้วยและชัยชนะของเค้าเริ่มหดหายลงเกือบครึ่งประจำ ไม่ว่ากับปอร์โต้ เชลซี อินเตอร์มิลาน รวมทั้งมาดริดด้วยเช่นกัน ไม่เพียงแค่นั้นในปีที่ 3 หรือปีสุดท้ายไม่เพียงฝีมือและผลงานจะตกต่ำลง แต่ความสัมพันธ์ตึงเครียดก็มากเสมอ จนเค้าแทบจะไม่เคยจากกันดี ๆ เลยกับทีมใดเลย

สาเหตุและความเป็นไปได้

เมื่อกล่าวตอนท้าย เรื่องการแยกทางกันหลังปีที่สาม ของน้ามู ก็อาจจะเริ่มเดาได้ว่าทำไมต้องจบที่ปีนี้ เป็นได้ว่าเมื่อน้ามูคุมทีมไปนาน บุคลิกของเค้าก็เริ่มแสดงออกมากขึ้น และสร้างศัตรูมากขึ้น ในทั้งนักเตะของตัวเอง ห้องแต่งตัว หรือกับบอร์ดและฝ่ายบริหารของสโมสร ทั้งเรื่องค่าแรง การซื้อตัวและอื่น ๆ จนทำให้งานของเค้ายากกว่าเดิมนั่นเอง เราเลยสังเกตได้ว่าหลังจากได้แชมป์แล้ว นักเตะระดับดังจะมีปัญหาทะเลาะกับน้ามูเพราะว่าเบื่อในเรื่องการเข้มงวดและแผนการเล่น และน้าก็จะไปทะเลาะต่อกับบอร์ดเรื่องหานักเตะใหม่นั่นเอง

น้ามูเป็นโค้ชที่เยี่ยมมากแน่นอน ปีนี้กำลังคุมทีมผีแดงอยู่ปีที่ 3 และยังไม่ได้แชมป์เลย เราต้องมองว่าปีนี้จะทำลายอาถรรพ์ได้หรือไม่กันแล้ว

 

ทีมไหนเป็นตัวเก็งพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018 – 2019 หนนี้?

การแข่งขันฟุตบอลรายการพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เป็นการแข่งขันฟุตบอลลีกที่เรียกได้ว่าโด่งดังและมีชื่อเสียงที่สุดสำหรับแฟนบอลในประเทศไทย สำหรับฤดูกาลล่าสุดในปี 2018 – 2019 นี้ เรียกได้ว่านับวันยิ่งจะทวีความเข้มข้นในการขับเคี่ยวลุ้นแชมป์กันมากขึ้นเรื่อย ยิ่งในปีที่จะถึงนี้ ที่เพิ่งจะจบการแข่งขันฟุตบอลโลกล่าสุดที่ประเทศรัสเซีย 2018 มาหมาด ๆ ก็ยิ่งจะทำให้อารมณ์ ความอิน และความต้องการเสพฟุตบอลของแฟน ๆ ยังอยู่ในใจต่อเนื่อง ดังนั้น สำหรับพรีเมียร์ลีกอังกฤษที่เพิ่งเริ่มเปิดฉากแข่งขันไปนั้น จะมีทีมสโมสรไหนบ้างที่จะถือว่าเป็นตัวเก็ง มีสิทธิจะลุ้นคว้าแชมป์ไปครองในที่สุด ลองไปชมกันหน่อย

2 ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์

เหมือนกับทุกฤดูกาลของพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ที่นับย้อนไป 6-7 ปีที่ผ่านมา เมืองแมนเชสเตอร์ที่ขึ้นชื่อเรื่องฟุตบอลอันดับหนึ่งของประเทศ ส่ง 2 ทีมยักษ์เข้าประกวดเช่นเคย ทีมแรกคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือเรือใบสีฟ้า แชมป์เก่าจากปีที่แล้วนั่นเอง แน่นอนว่าแชมป์เก่าก็ต้องป้องกันแชมป์เป็นธรรมดา แต่ว่าสำหรับลูกทีมของกวาดิโอล่าแล้ว แนวโน้มของความแรงนับว่าแรงขึ้นทุกปีตั้งแต่ปีแรกที่วืดแชมป์ จนปีที่แล้วได้แชมป์ จนมาถึงปีนี้ ทุกฝ่ายต่างมองเห็นว่าการเล่นเป็นระบบสวยงาม และความดุดันยิ่งมากขึ้น ๆ เมื่อนักเตะเข้าใจปรัชญาของโค้ช
ส่วนอีกทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือผีแดง ทีมขวัญใจเบอร์หนึ่งของแฟนบอลไทยนั่นเอง สาเหตุก็เพราะว่าในปีที่แล้วพวกเค้าพลาดแชมป์แบบหมดลุคดูไม่จืด ไม่ได้แชมป์ใด ๆ เลย หัวเรืออย่างมูริญโญ่จึงไม่อยู่เฉยแน่ ๆ ในฐานะจอมวางแผนและแก้เกมมือหนึ่ง จึงนับว่าน่าติดตามมาก

หงส์แดงและสิงโตน้ำเงิน

ปีนี้ไม่ต้องตกใจที่มีชื่อของหงส์แดง ลิเวอร์พูลมาเกี่ยวข้องด้วย เพราะว่าปีที่ผ่านมาพวกเค้าแสดงให้โลกเห็นแล้วว่า เมื่อเกมรุกที่จัดจ้านสมชื่อเครื่องจักรสีแดงคืนชีพ ด้วยมนต์ตราของเทพเจ้าซาลาห์ที่โด่งดังไปทั่วยุโรปในปีเดียว เริ่มทำงานเมื่อไหร่ ก็แทบจะไม่มีทีมไหนรอดจากการเสียประตูได้ ส่วนเกมรับกับนายทวารจุดอ่อนมาตอนนี้พวกเค้าแก้ไขด้วยการซื้อของดีราคาแพงมาอุดแล้ว จึงหมดปัญหา
ส่วนทางด้านทีมใหญ่อย่างเชลซีก็เข้าตำราเดิม ทีมสิงโตน้ำเงินครามตัดสินใจเปลี่ยนโค้ชใหม่อีกครั้ง เป็นซาร์รี่จาก นาโปลี ก็เรียกได้ว่าปรัชญาการเล่นเปลี่ยนอีก และเดาทางไม่ออกอีกครั้ง จึงตัดพวกเค้าออกไม่ได้แน่ ๆ

ทั้ง 4 ทีมนี้จัดว่าเป็นทีมที่ฟันธงได้เลยว่า จะต้องลุ้นแชมป์กันอย่างขับเคี่ยวสูสีไปจนถึงนัดท้าย ๆ เพราะคุณภาพและความสดใหม่ในด้านทรัพยากรของทุกสโมสร จึงเรียกว่าแฟนบอลอดใจรอกันให้มีการแข่งขันไม่ไหวแล้วแน่