Tag: ผู้จัดการทีม (page 1 of 1)

นายใหญ่ชาวอาร์เจนผู้บ้าคลั่งในนาม มาร์เซโล บิเอลซ่า

ผลหลังจากที่ฤดูกาล 2019-2020 ของทีมลีดส์ ยูไนเต็ดจบลงด้วยการเป็นแชมป์ลีกรองและคว้าสิทธิเลื่อนชั้นขึ้นพรีเมียร์ลีกในที่สุด ถือเป็นการจบการรอคอยนานถึง 16 ปี ซึ่งที่ผ่านมาทีมยูงทองต้องผ่านเรื่องราวมากมายกว่าจะสามารถกลับมาแข่งขันในลีกสูงสุดได้สำเร็จ ส่วนหนึ่งก็คือการมาของมาร์เซโล บิเอลซ่ากุนซือชาวอาร์เจนติน่า ซึ่งเป็นคนที่แม้แต่ยอดผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้อย่างเป็ป กวาติโอล่ายังต้องยอมรับว่าเขาคือของจริง แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นที่รู้จักมากก็ตามในทวีปยุโรป แต่เขาก็ประสบความสำเร็จมากมายในแถบอเมริกาใต้และเบื้องหลังความสำเร็จของเขากับลีดส์ที่ไม่ได้ใช้เวลานานอย่างที่แฟน ๆ ต้องรออย่างที่ผ่านมา

เกียรติประวัติของบิเอลซ่า

ถ้าจะบอกความสำเร็จง่าย ๆ เกี่ยวกับบิเอลซ่าก็คือเขาคือผู้จัดการทีมชาติอาร์เจนติน่าที่พาลีโอเนล เมสซี่คว้าเหรียญทองในการแข่งขันโอลิมปิกในปี 2004 นั่นเอง และนี่คือเหตุผลว่ามีข่าวหลุดออกมาว่าตัวของเมสซี่เองก็อยากจะร่วมงานกับเขาอีกครั้งในอนาคต แต่ในส่วนของความสำเร็จกับสโมสร เขาเคยพาทีมอย่างนีเวลล์ โอลด์บอยส์คว้าแชมป์ลีกที่ประเทศบ้านเกิดในปี 1991 และพาสโมสรแอตแลนติก บิลเบาซึ่งอยู่ระดับกลางตารางในลีกลาลีกาสเปน เข้าชิงแชมป์ยูฟ่า ยูโรป้า ลีกและโคปา เดอ เรย์ที่เป็นถ้วยศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ แต่น่าเสียดายที่เขาทำได้แค่เพียงรองแชมป์ทั้งสองใบ

ส่วนสไตล์การคุมทีมของเขาถือเป็นที่เลื่องลือมาก เพราะเขาจะเป็นคนเก็บรายละเอียดมาก ๆ รวมทั้งส่งแมวมองไปสังเกตการเล่นของแต่ละทีม และผู้เล่นแต่ละคนอีกด้วย แม้มันจะดูเป็นเรื่องปกติในสมัยนี้ แต่กับช่วงสิบปีหรือยี่สิบปีก่อน นี่ถือเป็นเรื่องที่ใหม่มาก รวมถึงการใช้จิตวิทยากับลูกทีมจนใครก็หาว่าเขาเป็นคนบ้าคนหนึ่งเลยทีเดียว

การคุมทีมยักษ์หลับอย่างลีดส์

ทีมยูงทองถือเป็นทีมจอมเกือบในลีกแชมเปียนส์ชิพเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการแพ้ดาร์บี้ เคาท์ตี้ทั้ง ๆ ที่ชนะมาก่อนในนัดเพลย์ออฟเพื่อสิทธิ์การเลื่อนชั้น หรือพลาดท่าในช่วงท้ายฤดูกาลจนไม่อาจจะคว้าแต้มพอที่จะอยู่ภายในอันดับ 6 ของตาราง แต่การมาของมาร์เซโล่ บิเอลซ่าทำให้ทีมอย่างลีดส์ ยูไนเต็ดมีชีวิตชีวามากขึ้นและเขาสามารถแก้ปัญหาที่ทีมชอบแผ่วปลายในช่วงท้ายฤดูกาลจนต้องพลาดท่าเสมอ แต่ในปีแรกเขาเกือบจะพาทีมเป็นแชมป์ แต่หลังจากที่ทีมเสียสมาธิที่ตัวผู้จัดการโดนวิจารณ์เรื่องที่เขาส่งคนไปสอดแหนมขณะที่คู่แข่งฝึกซ้อม และสุดท้ายกลับทำได้เพียงอันดับ 3 ของตารางและแพ้ในรายการเพลย์ออฟอย่างที่กล่าวข้างต้น

แต่ความสำเร็จของพวกเขาก็มาถึงเมื่อลีดส์ ยูไนเต็ดที่ตอนแรกเริ่มฉายแววแผ่วปลายเช่นเคย แต่ด้วยความเขี้ยวของเขาเองทำให้ทีมยูงทองยังสามารถเก็บชัยชนะไว้ได้ตลอด จนกระทั่งพวกเขาสามารถเป็นแชมป์ได้ก่อนจบฤดูกาลถึง 2 นัดและคว้าแต้มไปได้ถึง 93 คะแนนพร้อมกับสถิติเสียประตูน้อยที่สุดในลีกอีกด้วย

ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่รอดในพรีเมียร์ลีกได้หรือไม่ก็ตาม แต่ชื่อของมาร์เซโล่ บิเอลซ่าก็ถือว่าเป็นตำนานของทีมได้แล้ว หลังจากที่ช่วยปลุกให้แฟนบอลต้องตื่นจากฝันร้ายที่ยาวนานกว่า 16 ปีได้ และนี่คงจะเป็นหนึ่งในเครื่องพิสูจน์ว่าชายที่เก็บทุกรายละเอียดและมีจิตวิทยาเฉพาะตัว สามารถพาทีมที่แทบจะหมดหวังในการเลื่อนชั้นไปแล้วกลับมาได้สู่ที่ ๆ เคยเป็นของพวกเขาอีกครั้งนึงนั่นเอง

เส้นทางชีวิตของกุนซือคนใหม่แห่งทัพปีศาจ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

ภายหลังจากผลงานการคุมทัพปีศาจแดงชั่วคราว ที่พาทีมโชว์ฟอร์มอย่างร้อนแรงจนทำให้ล่าสุดทางสโมสร ต้องประกาศแต่งตั้ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เป็นผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการ สมกับฉายาซูเปอร์ซับ ที่สามารถเข้ามาช่วยทีมให้พ้นจากช่วงเวลาที่ยากลำบากได้อีกครั้ง แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่า เบื้องหลังชีวิตของกุนซือหน้าทารกรายนี้ มีความน่าสนใจเพียงใด

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ในวัยทารกน้อยได้ถือกำเนิดเมื่อปี 1973 ที่ประเทศนอร์เวย์  โดยที่ได้ถูกตั้งความหวังจากคุณพ่อที่เป็นนักมวยปล้ำอาชีพฝีมือฉกาจ การันตีจากการคว้าแชมป์ภายในประเทศกว่า 5 สมัย ให้ฝึกฝนและเติบโตขึ้นเป็นนักมวยปล้ำชั้นแนวหน้า แต่ด้วยร่างกายที่ค่อนข้างอ่อนเอ ทำให้สุดท้ายไม่สามารถเดินตามความฝันของคุณพ่อได้สำเร็จ

แต่ในวัยเด็กนอกเหนือจากเวลาที่ใช้ในการฝึกฝนทักษะมวยปล้ำแล้ว โซลชา จะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการดูรายการฟุตบอลอังกฤษ จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาเริ่มหันมาเล่นกีฬาฟุตบอล และด้วยความตั้งใจในการฝึกฝนทักษะของตัวเอง จึงทำให้ได้มีโอกาสเล่นร่วมกับทีมประจำท้องถิ่น ในวัยเพียง 8 ขวบเท่านั้น

เมื่อก้าวเข้าสู่วัยรุ่น โซลชา ที่ได้บ่มเพาะศักยภาพในการเป็นนักเตะมาอย่างต่อเนื่อง ก็ได้เข้าสู่ทีมเยาวชนและได้เล่นให้กับทีมในดิวิชั่น 3 อย่าง เคลาเซเนนเก้น จนผลงานไปเตะตาทีมในระดับลีกสูงสุดอย่าง โมลด์ และใช้เวลาเพียงไม่นานในการสร้างชื่อจนได้ขนานนามจากแฟนบอลว่า  อลัน เชียร์เรอร์ แห่งประเทศนอร์เวย์ โดยโซลชา ก็ไม่ได้หลงระเริงไปกับชื่อเสียงที่ได้รับ แต่กลับตั้งใจขยันฝึกซ้อมมากยิ่งขึ้น โดยหวังแต่เพียงว่าวันหนึ่ง จะได้ย้ายไปเล่นในลีกสูงสุดของอังกฤษ

และจากฟอร์มอันร้อนแรงที่ซัดไป 31 ประตูตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ย้ายมาร่วมทีม ส่งผลให้ฟอร์มดันไปเตะตากับผู้ที่จะมาเปลี่ยนอนาคตเขาไปตลอดการอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ในขณะนั้นพึ่งผิดหวังจากการพยายามคว้าตัวสุดยอดกองหน้าที่ โซลชา เคยถูกนำไปเปรียบเทียบอย่าง อลัน เชียร์เรอร์ เป็นเหตุให้ทางสโมสรตัดสินใจเซ็นสัญญา โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ดาวยิงจากประเทศนอร์เวย์ ที่แฟนบอลประเทศอังกฤษในยุคสมัยนั้นแทบไม่มีใครรู้จักเขาเลย โดยในปีแรกเขาได้กลบเสียงวิจารณ์และข้อสงสัยในตัวเขาทันที เมื่อจัดการยิงประตูให้กับทีมไปถึง 18 ประตูในลีก พร้อมคว้าตำแหน่งดาวซัลโวของทีมและพาสโมสรคว้าแชมป์ลีกมาครองได้ในที่สุด

แต่แล้วในปี 1998-1999 สโมสรก็ได้ตัดสินใจเซ็นกองหน้ามาอีกรายนั้นคือ ดไวท์ ยอร์ค ทำให้เกิดกระแสข่าวการย้ายทีมของ โซลชา เกิดขึ้นทันที อย่างไรก็ดี ดาวยิงชาวนอร์เวย์กลับปฏิเสธการย้ายทีมและพร้อมเข้าร่วมแข่งขันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งกองหน้าตัวจริง โดยที่เจ้าตัวอาจไม่รู้ว่าการตัดสินใจนี้ จะเป็นการเปิดประตูไปสู่การเป็นตำนานที่เข้าไปครองใจเหล่าแฟนๆสาวกปีศาจแดงในภายหลัง

ในเวลาต่อมาโซลชา ได้ถูกปรับเปลี่ยนบทบาทมาเป็นกองหน้าตัวสำรองของทีมบ่อยครั้ง แต่ด้วยความสามารถในการยิงประตูในช่วงเวลาสำคัญของทีม พาทีมพลิกกลับมาเอาชนะ หรือคว้าผลการแข่งขันที่ต้องการได้เสมอ ทำให้ โซลชา ได้รับการขนานนามจากสื่อและแฟนบอลว่า สุดยอดกองหน้าซูเปอร์ซับ โดยสิ่งที่ถูกกล่าวขานมากที่สุด คือการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศในศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ที่เจอกับสโมสร บาเยิร์น มิวนิค ในปี 1999 ที่ในขณะนั้นทีมตามหลังอยู่ 1-0  โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ถูกส่งลงไปแทนกองหน้าในขณะนั้นอย่าง แอนดี้ โคล ในนาทีที่ 81 และช่วงเวลาหลังจากนั้น คือสิ่งที่เรียกว่า “ตำนาน”

โซลชา เซ้งรถบัสต่อจากน้ามูจริงหรอ

“ผู้จัดการทีมที่เข้ามาทำงานต่อจากผม เปลี่ยนสไตล์การเล่นฟุตบอลของทีมเป็นเน้นเกมรับแล้วรอสวนกลับ ผู้จัดการทีมที่เข้ามาหลังจากเขาก็เล่นในสไตล์เดียวกัน สิ่งที่ต่างกันระหว่างสองคนนี้มีเพียงแค่ โซลชา เก็บผลการแข่งขันได้ดีกว่าเท่านั้น แต่นี่เป็นเรื่องจริงที่ปัจจุบัน ยูไนเต็ด ไม่ได้เล่นในสไตล์ที่ เฟอร์กูสัน สร้างเอาไว้” นี่คือสิ่งที่ หลุยส์ ฟาน กัล อดีตกุนซือที่เคยร่วมงานกับสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ให้สัมภาษณ์ความเห็นกับสื่อถึงสไตล์การเล่นของทีมในปัจจุบัน

                ตลอดภายหลังการเข้ามาคุมทีมตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคม โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้เข้ามาสร้างปรากฏการณ์ต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการพาทีมกลับมาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม บรรยากาศในทีมที่ดีขึ้น เหล่านักเตะต่างโชว์ศักยภาพในการเล่นได้ราวกับเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้ กล่าวได้ว่า โซลชา คือผู้ที่เข้ามานำพาสโมสรกลับมาสู่ทิศทางที่ควรจะเป็นอีกครั้ง

                แต่ถ้าย้อนกลับมาถามว่า สิ่งที่ตำนานกุนซือชาวดัตช์ได้กล่าวไว้ ผิดไปจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไหม ก็คงปฏิเสธไม่ได้ เนื่องจากเวลาเจอกับเหล่าทีมชั้นนำในประเทศและต่างประเทศ โซลชา มักจะวางแผนการเล่นที่เน้นรับต่ำและรอสวนกลับอย่างรวดเร็วโดยใช้จังหวะที่น้อยที่สุด อย่างที่ หลุยส์ ฟาน กัล ได้กล่าวไว้จริงๆ

ในทางกลับกัน นั่นก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด เพราะเวลาที่ ยูไนเต็ด เจอกับทีมที่เป็นรองกว่า ก็จะพบเห็นสไตล์การเล่นที่ดันแผงกองหลังสูงและครองบอลบุกใส่คู่แข่งอยู่เสมอโดยที่ไม่มีใส่เกียร์ถอยหลังแม้แต่นิดเดียว และถึงแม้เวลาเจอกับทีมที่มีระดับพอๆกัน ก็มักจะเร่งสปีดเกมสวนกลับอย่างรวดเร็ว ต่อบอลกันเพียงไม่กี่จังหวะก็ถึงหน้ากรอบประตูและพร้อมลงโทษคู่ต่อสู้ ซึ่งจะแตกต่างจากในยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือชาวโปรตุเกส ที่ถึงแม้จะเล่นเกมรับและสวนกลับเหมือนกัน แต่เวลาสวนกลับมักจะมีความเร็วที่ช้า จนทำให้ทีมฝ่ายตรงข้ามกลับไปประจำตำแหน่งในเกมรับกันได้ทันท่วงที

นอกจากที่กล่าวมา ยังสามารถยืนยันได้จากสถิติที่ตลอดการเข้ามาคุมทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา สามารถพาทีมพังตาข่ายคู่แข่งได้ทุกๆเฉลี่ยทุกๆ 38 นาที คิดเป็นค่าเฉลี่ยประตูต่อเกมอยู่ที่ 2.31 ประตู ในขณะที่ทางฝั่งของ มูรินโญ่ ในฤดูกาลนี้จะมีสถิติการพังประตูคู่แข่งเฉลี่ยทุกๆ 60 นาที หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยการทำประตูต่อเกมอยู่ที่ 1.5 ประตู

และหากมองในแง่ของเกมรับจะพบว่า ค่าเฉลี่ยการเสียประตูต่อเกมของโซลชานั้นอยู่ที่เพียง 0.69 ประตูต่อเกมเท่านั้น แตกต่างจากทางฟากฝั่งของ มูรินโญ่ ที่ตลอดการพาทีมลงแข่งขันในฤดูกาลนี้ มีสถิติการเสียประตูอยู่ที่ทุกๆ 61 นาที หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.46 ประตูต่อเกม

ดังนั้น หากจะกล่าวว่า โซลชา มีวิธีการทำทีมที่มีสไตล์การเล่นที่ไม่แตกต่างจากในยุคของ มูรินโญ่ ก็คงไม่ยุติธรรมต่อเจ้าตัวสักเท่าไหร่ และเช่นเดียวกัน วิธีการทำทีมของเขาก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับสไตล์การเล่นในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตผู้จัดการทีมระดับตำนานของสโมสร แต่สิ่งที่ทำให้เหล่าแฟนบอลรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เหมือนกับ ยูไนเต็ด ในอดีตนั้น อาจเป็นเพราะ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา รู้จักความหมายของสโมสรแห่งนี้ดีว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คืออะไร

2 คีย์แมนผู้เข้ามาปลุกหงส์แดงให้คืนชีพเป็นนกฟินิกซ์

จบกันไปสักพักแล้วสำหรับศึกการแข่งขันพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2018/2019 ก็ต้องบอกเลยว่าในซีซั่นนี้ค่อนข้างสูสีดุเดือด จนถึงวินาทีสุดท้ายเลยทีเดียว โดยท้ายที่สุดแล้วเป็นทางสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สามารถปักธงแห่งชัยชนะและคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ

แน่นอนว่าสำหรับเหล่าแฟนบอลของสโมสรหงส์แดง ลิเวอร์พูล ที่รอคอยแชมป์มายาวนานกว่า 29 ปี คงรู้สึกผิดหวังไปตาม ๆ กัน แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งการจบอันดับเป็นรองแชมป์ที่มีคะแนนสูงที่สุดในศึกฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษ ก็ถือเป็นเครื่องการันตีได้เป็นอย่างดีว่าสโมสรกำลังอยู่ในเส้นทางที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อีกครั้งเหมือนดั่งในอดีต โดยเราจะไม่ขอกล่าวถึงบรรดาเหล่านักเตะที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในฤดูกาลนี้ เพราะเชื่อว่าคงมีการพูดถึงกันเยอะแล้ว แต่วันนี้ VWIN จะพาเหล่าแฟนบอลไประลึกถึง 2 บุคคลสำคัญที่เข้ามาพลิกโฉมสโมสรกันดีกว่า

โครงสร้างสโมสรเปลี่ยนไปตั้งแต่ได้เจ้าของคนใหม่

ก็ต้องบอกเลยว่าในช่วงแรกตอนที่ จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ และ เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป ได้เข้ามาบริหาร แฟนบอลต่างไม่ได้รู้สึกดีมากนัก เพราะล้วนติดภาพของคู่หูเจ้าของกิจการชาวอเมริกันยุคก่อนที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อจากสโมสรมาโดยตลอด แต่พอเวลาผ่านไปด้วยวิธีการทำงานที่ค่อย ๆ เข้ามารื้อปัญหาอย่างตรงจุดและไม่รีบร้อนทำอะไรตามกระแส ทำให้สุดท้ายสโมสรก็เริ่มสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างมั่นคง

และจุดที่เชื่อว่าแฟนบอลจะเห็นตรงกันที่สุดนั่นก็คือ ความเชื่อมั่นที่มีต่อตัวผู้จัดการทีมและพร้อมทุ่มเงิน 75 ล้านปอนด์ให้กับกองหลังคนหนึ่งที่ไม่ได้มีชื่อเสียงระดับโลก แถมยังไม่มีการบีบบังคับหรือเร่งรีบให้หาตัวแทนมาแก้ขัดแบบขอไปที ทำให้สุดท้ายก็ได้จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญมาเติมเต็มให้สามารถก้าวขึ้นมาลุ้นแชมป์ได้สำเร็จ

ชายผู้ให้ความสำคัญที่คุณค่ามากกว่าเงินตรา เจอร์เก้น คล็อปป์

วินาทีแรกที่ก้าวเข้ามาดำรงตำแหน่งกุนซือของทางลิเวอร์พูล เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้กล่าวว่า “ผมได้รับการติดต่อจากหลาย ๆ ทีม แต่ไม่มีแผนงานไหนเลยที่จะทำให้ผมตื่นเต้นได้เท่ากับทาง ลิเวอร์พูล โอเคว่าถ้าผมไปทีมอื่นอาจจะมีโอกาสคว้าแชมป์ได้ง่ายกว่า แต่มันจะมีความสำคัญเท่ากับการปลุกสโมสรอย่างลิเวอร์พลูให้กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งไหมล่ะ”

ถึงจุดนี้เชื่อว่าแฟน ๆ ลิเวอร์พูลหลาย ๆ คนคงยิ้มไปตามกันหลังจากได้รู้ถึงบทสัมภาษณ์ โดยต้องยอมรับความจริงกันก่อนว่าในช่วงเวลานั้นทางสโมสรค่อนข้างจะมีข้อจำกัดในการเฟ้นหาผู้จัดการทีมเข้ามารับตำแหน่ง เพราะไม่สามารถนำเงินมาวางเพื่อล่อใจแก่เหล่าผู้จัดการทีมฝีมือฉกาจได้ ซึ่งต่างกับทาง เชลซี แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือแม้กระทั่งทีมคู้แค้นอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยสิ้นเชิง แต่ทางคล็อปป์เองกลับไม่นำเรื่องดังกล่าวมาคิดแม้แต่นิดเดียว ทั้งที่ในขณะนั้นเจ้าตัวก็ได้รับการทาบทามจากเหล่าสโมสรยักษ์ใหญ่มากมายทั่วทั้งยุโรป จนสุดท้ายได้กลายมาเป็นกำลังสำคัญให้สโมสรคืนชีพและกลับมาผลงานได้อย่างโดดเด่นจนกลายเป็นทีมอันดับต้น ๆ ของโลก

แน่นอนว่านักเตะก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมที่ผลงานที่ดีอยู่ในตอนนี้ แต่หากพูดกันตรง ๆ ก็คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งสองคนที่เรากล่าวมา คือกุญแจสำคัญที่เข้ามาปลดล็อกให้ทางสโมสรกลับมาโบยบินอย่างยิ่งใหญ่เพื่อรอวันที่จะคืนสู่บัลลังก์จุดสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษอีกครั้ง